โดเมนฟรี

วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ฟุตบอลเอเชียน คัพ 2011 รอบคัดเลือก กลุ่ม อี สิงคโปร์ 1-3 ไทย

ล้างแค้นได้สำเร็จสำหรับขุนพล "ช้างศึก" ทีมชาติไทย ยุค "กัปตันมาร์เวล" ไบรอัน ร็อบสัน ที่สามารถบุกไปถล่มทีม "ลอดช่อง" สิงคโปร์ ยุคนักเตะแปลงสัญชาติเต็มทีมได้ถึงรัง 3-1


ฟุตบอลเอเชียน คัพ 2011 รอบคัดเลือก กลุ่ม อี (14 พ.ย.52)

สิงคโปร์ 1-3 ไทย
ประตู :
0-1 สุธี สุขสมกิจ 13 (จุดโทษ)
0-2 เทิดศักดิ์ ใจมั่น 76
0-3 สุธี สุขสมกิจ 81
1-3 ฟาห์รุดดิน 84 (จุดโทษ)

โดยในเกมฟุตบอลเอเขียน คัพ รอบคัดเลือกกลุ่ม อี ไทย ซึ่งลงสนามมา 2 นัดเสมอ 2 นัดรวด พบกับ สิงคโปร์ ที่ชนะมาแล้วนัดนึง เกมนี้หากไทยต้องการเข้าไปเล่นรอบสุดท้ายก็จะต้องชนะให้ได้

เริ่มเกมมา 13 นาที ไทยมาได้ประตูขึ้นนำไปก่อนจากการซัดลูกจุดโทษของ "เบิร์ด" สุธี สุขสมกิจ หลังจากที่ นอร์ อลัม ชาร์ กองหน้าดาวดังสิงคโปร์ ทำแฮนด์บอลในเขตโทษ

หลังจากนั้นไทยดูจะเป็นฝ่ายที่ทำได้เหนือกว่า และมีโอกาสลุ้นประตูเพิ่มอีก เช่น จากการยิงไกลของ ดัสกร ทองเหลา กัปตันทีมที่บงการเกมได้อย่างยอดเยี่ยม แต่นายทวารทีมสิงคโปร์ ป้องกันเอาไว้ได้ทั้งหมด ทำให้สกอร์ยังหยุดนิ่งแค่ 1-0 เท่านั้น

ครึ่งหลัง สิงคโปร์ แก้เกมมาดีมากสามารถขึงเกมและใช้การสาดโด่งเข้าไปกดดันแนวรับไทยได้บ่อยๆ จนเกือบจะตีเสมอได้ แต่ถึงนาทีที่ 76 ไทยก็สวนกลับมาตูมเดียวได้เรื่องเลย เมื่อ สุเชาว์ นุชนุ่ม ได้บอลหลุดไปริมเส้นฝั่งซ้ายใกล้มุมธง ก่อนจะโยนเข้ากลางมาให้ตัวสำรอง เทิดศักดิ์ ใจมั่น ที่เพิ่งจะลงมาไม่นาน วอลเล่ย์เข้าไปอย่างเหนือชั้น

ถัดมาถึงนาทีที่ 81 ธีรศิลป์ แดงดา ก็จ่ายทะลุช่องให้ สุธี หลุดเข้าไปทำประตูที่ 2 ของตัวเองได้อีก เป็นการฝังสิงคโปร์ สิ้นเชิง 3-0 แต่ว่าเจ้าบ้านมาได้ลูกจุดโทษที่น่ากังขาในอีก 3 นาทีต่อมา ฟาห์รุดดิน ยิงเข้าไปไล่มาเป็น 3-1 แต่สุดท้ายก็ได้แค่นี้ จบเกมไทยชนะไป 3-1 คว้า 3 แต้มเต็มกลับกรุงเทพฯ โดยจะพบกันอีกครั้งในวันพุธที่จะถึงนี้

รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
สิงคโปร์ : ฮัสซัน ซุนนี่ , ริดดวน มูฮัมหมัด , ดาเนียล เบนเนตต์ , ไครซาน ไมฮัคกี , ไซฟุล บอน อีซา , นอร์ รามาน , มุสตาฟิค ฟาห์รุดดิน , จอห์น วิลกินสัน , ซาอิล อีสฮัค , อเล็กซานเดอร์ ดูวิค , นอร์ อลัม ชาห์

ไทย : สินทวีชัย หทัยรัตนกุล , สุรีย์ สุขะ , ภาณุพงษ์ วงศ์ษา , ฌัฐพร พันธุ์ฤทธิ์ , ณัฐพงษ์ สมณะ , สุเชาว์ นุชนุ่ม , ดัสกร ทองเหลา , สุรัตน์ สุขะ , สุธี สุขสมกิจ , พิพิฒน์ ต้นกันยา , ธีรศิลป์ แดงดา

ข้อมูลจาก : MSN ฟุตบอล

วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2552

10 อันดับนักฟุตบอลที่มีรายได้สูงที่สุดในโลก

เกร็ดเล็กๆจากวงการฟุตบอล อ่านแล้วก็ไม่ต้องอิจฉาล่ะ

10 อันดับนักฟุตบอลที่มีรายได้สูงที่สุดในโลก (ต่อสัปดาห์)

1. คริสเตียโน่ โรนัลโด้ (เรอัล มาดริด) 219,000
2. ซามูแอล เอโต้ (อินเตอร์ มิลาน) - 186,000
3. กาก้า (เรอัล มาดริด) - 175,000
4. ลิโอเนล เมสซี่ (บาร์เซโลน่า) - 170,000
5. ซลาตัน อิบราฮิโมวิช (บาร์เซโลน่า) - 160,000
6. โรบินโญ่ (แมนฯ ซิตี้) - 160,000
7. จอห์น เทอร์รี่ (เชลซี) - 150,000
8. แฟรงค์ แลมพาร์ด (เชลซี) 141,000
9. สตีเว่น เจอร์ราร์ด (ลิเวอร์พูล) - 130,000
10. เอ็มมานูเอล อเดบายอร์ (แมนฯ ซิตี้) - 130,000

วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2552

พลาตินี่เผยแผนเด็ดคุมทีมเศรษฐีช็อปนักเตะ


"นโป เลียนลูกหนัง" มิเชล พลาตินี่ ประธานยูฟ่า เผยถึงแผนการลับที่จะช่วยในเรื่องของการจัดการสโมสรฟุตบอลยักษ์ใหญ่ที่ใช้ อำนาจเกินตัวด้วยการตัดสิทธิ์หากไม่สามารถที่จะคุมบัญชีสโมสรได้

หลัง จากที่ต้องเห็นสโมสรที่ได้นายทุนมหาเศรษฐีเข้ามาเทคโอเวอร์และพร้อมที่จะ สะเทือนวงการด้วยการทุ่มเงินมหาศาลเพื่อคว้าตัวนักเตะมาชนิดไม่เกรงใจสโมสร อื่นๆ

ล่าสุดพลาตินี่ เผยว่าต่อไปก็จะมีกฏที่จะควบคุมไม่ให้เกิดเรื่องดังกล่าวขึ้น ซึ่งยูฟ่า จะใช้วิธีการตรวจสอบบัญชีแทนและหากพบว่าบัญชีรายรับไม่สมดุลกับรายจ่ายก็จะ ตัดสิทธิ์ไม่ให้เล่นในรายการสโมสรฟุตบอลยุโรป โดยคาดว่าจะเริ่มได้ในอีก 3 ปีข้างหน้า

"เรามีเวลา 3 ปีในการที่ช่วยให้สโมสรในการบอกว่าพวกคุณจะซื้อมากกว่ารายได้ที่ได้รับไม่ได้แล้ว"

"ถ้า สโมสรกู้ยืมเงินมาจากธนาคารเพื่ใช้ซื้อนักเะและสามารถจะผ่อนชำระคืนได้มันก็ ไม่เป็นปัญหา แต่ถ้าสโมสรได้รับเงินมหาศาลจากภายนอกและยังเป็นแบบนั้นอยู่ในอีก 2 ปีข้างหน้า นั่นจะเป็นปัญหาแน่และเราก็ไม่ชอบแบบนั้น"

ขอขอบคุณMSNฟุตบอล

กัลเลียนี่โอดมิลานสุดหินชนมาดริด


อา เดรียโน่ กัลเลียนี่ รองประธานเอซี มิลาน ออกมายอมรับว่าผิดหวังกับผลแบ่งกลุ่มแชมเปี้ยนส์ลีก หลังทีมปีศาจแดงดำต้องอยู่ในสายหินร่วมกับเรอัล มาดริด ในกลุ่ม ซี

เอ ซี มิลาน จะได้ต้อนรับกาก้า เพลย์เมกเกอร์แซมบ้าที่เพิ่งขายให้เรอัล มาดริด กลับมายังถิ่นซานซิโร่เร็วเกินคาด เนื่องจากทั้งปีศาจแดงดำ และชุดขาวถูกจับมาอยู่กลุ่ม ซี ร่วมกันในยูซีแอล รอบแบ่งกลุ่ม โดยมีมาร์กเซย จากฝรั่งเศส และเอฟซี ซูริค จากสวิตเซอร์แลนด์ร่วมด้วย

ด้านรองประธานมิลานกล่าวว่า "มิลานอยู่ในโถแรก และดันต้องมาเจอกับทีมที่แกร่งที่สุดในโถสอง เราก็ตกอยู่ในฐานะเดียวกับอินเตอร์ พวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากับซลาตัน อิบราฺฮิโมวิช ของบาร์เซโลน่า ขณะที่เราต้องเจอกาก้า"

"ผมหวังว่าเราจะได้เจอเรอัล มาดริดในรอบหลังจากนี้ พวกเขาเป็นสุดยอดในตลาดซื้อขายประจำซัมเมอร์ และนี่จะเป็นการเผชิญหน้ากันของสองทีมที่เคยได้แชมป์ยุโรปมาแล้วมากที่สุด มันยิ่งใหญ่มาก นี่ผมก็เพิ่งโทรไปหาฟลอเรนติโน่ เปเรซ (ปธ.เรอัล)มาหยกๆ"

ขอขอบคุณMSNฟุตบอล

วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เนดเวดยันแขวนสตั๊ดแน่นอน


พาเวล เนดเวด อดีตมิดฟิลด์จอมเก๋าชาวเชกของยูเวนตุส ออกมายืนยันว่าตัดสินใจยุติชีวิตค้าแข้งอย่างเป็นทางการแน่นอนแล้ว แม้มีข่าวว่าอาจจะเปลี่ยนใจหลังอำลาทีมม้าลายเมื่อจบซีซั่นที่ผ่านมา

เนดเวดประกาศอำลายูเว่หลังจบฤดูกาลที่แล้ว โดยที่ยังลังเลว่าจะเล่นต่อหรือแขวนสตั๊ดไปถาวรเลย ซึ่งที่ผ่านมาเขาได้รับการติดต่อจากลาซิโอ อดีตทีมเก่าในเซเรีย อา แต่สุดท้ายเจ้าตัวก็ยืนยันว่าจะเลิกเล่นแน่นอนและไม่เปลี่ยนใจอีก

กองกลางชาวเชกประกาศผ่านเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของตัวเองว่า "ผมตัดสินใจแล้วว่าจะไม่รับข้อเสนอจากทีมใดที่ติดต่อเข้ามาตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา และจบชีวิตค้าแข้งของผม ต่อจากนี้ไปผมจะอุทิศเวลาที่เหลือให้ครอบครัว ภรรยา และลูกๆ"

"ผมอยากจะขอบคุณแฟนบอลทุกคนสำหรับการสนับสนุนที่ดีเยี่ยมตลอดชีวิตการแข้งของผม" เนดเวดทิ้งท้าย

ทั้งนี้เนดเวดค้าแข้งในอิตาลีเป็นเวลา 13 ปี โดยเริ่มจากลาซิโอในปี 1996 ซึ่งเขาร่วมคว้าสคูเด๊ตโต้ในปี 2000 ก่อนจะย้ายมาอยู่กับยูเวนตุสในปี 2001 ซึ่งประสบความสำเร็จไม่น้อย กวาดทั้งแชมป์เซเรีย อา 2 สมัย รวมทั้งบัลลงดอร์ ในปี 2003 ด้วย

ขอขอบคุณ MSNฟุตบอล

วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ทรรศนะเซเรีย อา 2009-2010

เปิดฉากศึกกัลโช่ เซเรีย อา ของอิตาลี ฤดูกาล 2009-2010 ไปแล้วเรียบร้อยเมื่อวันเสาร์ที่ 22 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยไม่มีปัญหาวุ่นวายกวนใจเหมือนที่เกิดขึ้นในรอบปีหลังๆ

แม้หลายคนจะมองว่าคัมปิโอนาโต้ของอิตาลีปีนี้จะจืดชืดลงไปไม่น้อย เพราะขาดดาราชูโรงอย่าง กาก้า ที่ย้ายจากมิลานไปเรอัล มาดริด และซลาตัน อิบราฮิโมวิช ที่ลาอินเตอร์ไปบาร์เซโลน่า

แต่เชื่อว่าการขับเคี่ยวแย่งชิงสคูเด๊ตโต้จะยังสูสึคู่คี่กันเช่นเดิม โดยเฉพาะยูเวนตุส ที่เสริมทัพมาเต็มพิกัดในช่วงซัมเมอร์เพื่อหวังจะกลับมาช่วงชิงความเป็นใหญ่ในแดนมะกะโรนีคืนมาจากอินเตอร์

เกจิ กูรู รวมทั้งผู้สื่อข่าวที่ติดตามเซเรีย อา อย่างใกล้ชิดหลายสำนักในยุโรป ต่างแสดงทรรศนะออกมาคล้ายๆ กันนั่นคือ ไม่อินเตอร์ ก็ยูเวนตุส จะแย่งแชมป์ลีกกันในปีนี้ แต่ผลสรุปสุดท้ายทีมงูใหญ่จะเป็นฝ่ายคว้าแชมป์สมัยที่ 5 ติดต่อกันได้

แต่ที่น่าตกใจก็คือ ไม่มีใครเชื่อว่าเอซี มิลาน จะมีดีพอเป็นแชมป์ หนำซ้ำ เมื่อรวบรวมผลการแสดงความเห็นแล้ว ทีมปีศาจแดงดำ กลับถูกมองว่าจะจบซีซั่นเป็นที่ 6 ได้แค่โควตาไปเล่นยูโรป้า ลีกเท่านั้น

ขณะที่ นาโปลี มาแรงแซงโค้ง กลายเป็นม้ามืดที่มีโอกาสจะจบท็อปโฟร์ในสายตาของกูรูทั้งหลาย ซึ่งอันนี้คงต้องได้แต่รอดูผลงานของพวกเขาเท่านั้น ว่าจะดีเป็นบางช่วงแล้วก็ดับวูบไปเหมือนปีก่อนหรือไม่

นอกจากนี้ ฟอร์มแรงของทีมม้าลายในช่วงปรีซีซั่น ยังทำให้เกจิ คอลัมนิสต์ดังทั้งหลายเชื่อว่าพวกเขาจะไปได้สวยในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ถึงขั้นเข้าชิงด้วย ขณะที่อินเตอร์ซึ่งหวังถ้วยยุโรปสุดๆ ถูกมองว่าจะผิดหวังซ้ำอีกปี

แต่ทรรศนะ หรือการฟันธงใดๆ ก็เป็นแค่ความเห็นของคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น แฟนบอลอย่างเราๆ ท่านๆ อาจนึกค้านในใจ เพราะทีมรักของใครก็ย่อมแข็งแกร่งที่สุดในสายตาของคนคนนั้น

ดูบอล และเชียร์บอลให้สนุก มีน้ำใจเป็นนักกีฬา นั่นต่างหากคือหัวใจสำคัญ ขอให้ทุกท่านสนุกกับกัลโช่ เซเรีย อา ฤดูกาลนี้ครับ

ทรรศนะเซเรีย อา ฤดูกาล 2009-2010

แชมป์กัลโช่ เซเรีย อา : อินเตอร์ มิลาน

โควตายูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก : อินเตอร์ (1),ยูเวนตุส (2), โรม่า (3), นาโปลี (4)

โควตายูโรป้า ลีก : เจนัว (5), มิลาน (6), ปาแลร์โม่ (7)

ทีมตกชั้น : คิเอโว่ (18), โบโลญญ่า(19), เซียน่า (20)

แชมป์โคปปา อิตาเลีย : ปาแลร์โม่

ผู้รักษาประตูยอดเยี่ยม : ชูลิโอ เซซาร์ (อินเตอร์)

กองหลังยอดเยี่ยม : ไมคอน (อินเตอร์)

กองกลางยอดเยี่ยม : ดานิเอเล่ เดร รอสซี่ (โรม่า)

กองหน้ายอดเยี่ยม : อเมารี (ยูเวนตุส)

การเซ็นสัญญายอดเยี่ยมประจำฤดูกาล : เมาโร ซาราเต้ (ลาซิโอ)

การเซ็นสัญญายอดแย่ประจำฤดูกาล : แบร์นาโด้ คอร์ราดี้ (อูดิเนเซ่)

ดาวซัลโว : อเมารี (ยูเวนตุส)

นักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยม : ควาดโว อซาโมอาห์ (อูดิเนเซ่)

นักเตะยอดเยี่ยมประจำปี : ชูลิโอ เซซาร์ (อินเตอร์)

กุนซือยอดเยี่ยมประจำปี : โชเซ่ มูรินโญ่ (อินเตอร์)

ผลงานในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก : อินเตอร์ (รอบก่อนรองชนะเลิศ), ยูเวนตุส (รอบชิงชนะเลิศ), เอซี มิลาน (รอบ 16 ทีมสุดท้าย), ฟิออเรนติน่า (รอบแบ่งกลุ่ม)

ผลงานในยูโรป้า ลีก : เจนัว (รอบรองชนะเลิศ), โรม่า (แชมป์), ลาซิโอ (รอบก่อนรองชนะเลิศ)

ขอขอบุคณMSNฟุตบอล

วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2552

2 แนวทางที่แตกต่าง


พรีเมียร์ลีกเปิดฤดูกาลมาได้ 2 สัปดาห์ นอกเหนือจาก 3 ทีมที่เป็นกลุ่มลุ้นแชมป์โดยมาตรฐานอยู่แล้วอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด, เชลซี และลิเวอร์พูล อีก 2 ทีมที่อยู่ในข่ายไม่แตกต่างกันคือ อาร์เซนอล กับ แมนฯ ซิตี้ ที่เวลานี้ต่างก็ทำผลงานได้น่าประทับใจทั้งคู่

ทั้งสองทีมชนะรวดใน 2 เกมแรก ด้วยผลงานที่ค่อนข้างน่าประทับใจและคงจะไม่ว่าอะไรถ้าจะบอกว่ารู้สึกผิดความคาดหมายไปเยอะเหมือนกัน

สำหรับอาร์เซนอล การเสียเอ็มมานูเอล อเดบายอร์ กับโคโล ตูเร่ ไป (ก็ขายให้กับแมนฯ ซิตี้นี่แหละ) ทำให้หลายคนแสดงความกังวลถึงอนาคตของทีมกันเนอร์ส เนื่องจากทั้งอเดบายอร์ และตูเร่ นั้น จะดีจะชั่วก็ถือเป็นตัวหลักของทีมที่ดูดีกว่าดาวรุ่งที่ อาร์แซน เวนเกอร์ พยายามจะปั้น

ขณะที่ แมนฯ ซิตี้ การทุ่มเงินกว้านซื้อสตาร์เข้ามาเกือบครบยกทีมในระยะเวลาแค่ปีเศษๆ ทำให้พวกเขาถูกปรามาสว่าบางทีอาจกลายเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำหรือเปล่า เพราะมันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะซื้อดาวหลายๆดวงมาสุมๆกันแล้วจะหวังให้มันเปล่งประกายเจิดจ้า

อย่างไรก็ดีเท่าที่มองดูใน 2 สัปดาห์แรก ต้องยอมรับว่าไม่ว่าจะเป็น "ปืนใหญ่" หรือ "เรือใบ" ก็ทำให้แฟนบอลชื่นใจได้ทั้งคู่

แม้แนวทางการทำทีมของสองทีมนี้จะแตกต่างกันอย่างสุดขั้วเลยก็ตาม

อาร์เซนอล อย่างที่ทราบว่า เวนเกอร์ ใช้นโยบายในการบริหารจัดการทีมโดยเน้นการปั้นดาวรุ่งเป็นหลัก และซื้อผู้เล่นเข้ามาเสริมทีมเท่าที่มีความจำเป็น

กล่าวคือการซื้อตัวของเวนเกอร์นั้นจะต้องผ่านการคิดแล้วคิดอีก โดยที่หากรู้สึกว่านักเตะคนนั้นมีความจำเป็นต่อทีมจริงๆก็จะพยายามตื้อเอามาร่วมทีมให้ได้และมีเงื่อนไขว่าค่าตัวในการซื้อจะต้องไม่แพงจนเกินจากความเป็นจริง แม้ว่าจะต้องใช้ความพยายามในการเจรจาต่อรองมากหน่อยก็ตาม

ตัวอย่างที่ชัดเจนคือกรณีของ อังเดร อาร์ชาวิน ที่เจรจาต่อรองกันนานร่วมเดือนและในที่สุดก็ประสบความสำเร็จคว้ายอดนักเตะรัสเซีย มาร่วมทีมจนได้และกลายเป็นตัวหลักของทีมไปแล้วในเวลานี้

อีกตัวอย่างที่ชัดเจนคือกรณีของ มารูยาน ชามัค ศูนย์หน้าชาวโมร็อคโก จากทีมบอร์กโดซ์ ที่แม้เวนเกอร์ จะยอมรับว่าชื่นชอบในฝีเท้าและอยากได้มาร่วมทีม แต่เมื่อถูกโก่งค่าตัวจนเกินความจำเป็นไป นายใหญ่ชาวฝรั่งเศสเองก็พร้อมที่จะผละออกมาจากวงเจรจา ทิ้งให้นักเตะและสโมสรคู่เจรจากินแห้วไป

ด้วยแนวทางนี้ทำให้เวนเกอร์ ซื้อตัวนักเตะได้ยากและได้ในจำนวนน้อยเต็มที โดยฤดูกาลนี้มีเพียงแค่ โธมัส เวอร์มาเลน เท่านั้นที่ย้ายมาจากทางด้าน อาแย๊กซ์ อัมสเตอร์ดัม ด้วยค่าตัว 10 ล้านปอนด์ ซึ่งราคานี้ก็ถือว่าสูงอยู่สำหรับกองหลังวัยแค่ 23 ปี แต่ถ้าคิดถึงการที่ เวอร์มาเลน ผ่านประสบการณ์ในเกมอาชีพมานานทั้งยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ยูฟ่า คัพ รวมถึงทีมชาติเบลเยี่ยม และยังเป็นกัปตันอาแย๊กซ์ ด้วยแล้ว ก็นับเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า

แต่ถึงจะได้ยากและน้อย แนวทางนี้ก็มีข้อดีในการที่ทำให้เวนเกอร์ สามารถ "สกรีน" ได้อย่างละเอียดว่าจะได้นักเตะคนไหนเข้ามาร่วมทีม ซึ่งนอกจากจะต้องมีฝีเท้าที่ดีพร้อมแล้ว ทัศนคติที่มีต่อทีมก็เป็นเรื่องจำเป็นเช่นกัน เพราะการมาอยู่กับทีมปืนใหญ่ ก็ต้องรู้ว่าทีมปืนใหญ่เป็นอย่างไร เล่นอย่างไร และมีเป้าหมายอย่างไร

เราอาจกล่าวได้ว่าแนวทางนี้ถือเป็นแนวทางใน "อุดมคติ" ก็ว่าได้ เพราะไม่ว่าโค้ชคนไหนของโลกก็อยากจะทำแบบนี้ด้วยกันทั้งนั้น เพียงแต่มันมีข้อเสียตรงที่โลกแห่งความเป็นจริงนั้นไม่ใช่ทุกคนจะเห็นแก่เรื่องดีงามแบบนี้ทั้งหมด

นักฟุตบอลจำนวนไม่น้อยถูกกล่าวหาว่า "บูชาเงิน" มากกว่าความสำเร็จในอาชีพ และความซื่อสัตย์ที่เป็นพื้นฐานของนักฟุตบอลที่มีมาตั้งแต่อดีต

และประเด็นนี้เองที่กลายเป็นชนวนให้เกิดเสียงวิจารณ์ต่อ แมนฯ ซิตี้ ภายใต้การคุมทีมของ มาร์ค ฮิวจ์ส ที่มีฐานอำนาจทางการเงินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกฟุตบอลในเวลานี้อย่างกลุ่มทุนจากอาบูดาบี ที่มีแนวทางในการทำทีมสวนทางกับแนวคิดฟุตบอลอุดมคติของ เวนเกอร์

สิ่งที่ แมนฯ ซิตี้ ทำในเวลานี้คือการซื้อนักฟุตบอลเข้ามาร่วมทีมให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำให้ทีมมีโอกาสประสบความสำเร็จในระยะเวลาอันสั้นได้ โดยไม่ต้องสนใจเรื่องเงินค่าตัวหรือค่าเหนื่อย ขอเพียงแค่จ่ายให้มากพอที่จะคว้ามาร่วมทีมได้เท่านั้น

นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้แมนฯ ซิตี้ อดีตทีมที่เคยภาคภูมิใจกับการเป็น People's club คว้านักเตะเข้ามาเสริมทีมเป็นว่าเล่นในช่วง 2 ฤดูกาลที่ผ่านมา

ในฤดูกาลที่แล้วนั้น กลุ่มทุนอาบูดาบี ทำให้โลกตะลึงด้วยการเซ็นสัญญากับ โรบินโญ่ หนึ่งในซูเปอร์สตาร์ระดับโลกจากเรอัล มาดริด ด้วยค่าตัวสถิติเกาะอังกฤษ 34.5 ล้านปอนด์ "ภายในวันเดียว" หลังจากที่มีการเทคโอเวอร์สโมสรต่อจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อย่างเป็นทางการ

ก่อนที่จะอนุมัติงบประมาณในช่วงตลาดการซื้อขายหน้าหนาวให้ มาร์ค ฮิวจ์ส ที่กำลังเริ่มประสบปัญหาในการทำงานเพราะขุมกำลังไม่ดีพอกับความคาดหวังได้ซื้อ เคร็ก เบลลามี่ (11 ล้าน), ไนเจล เดอ ยอง (18 ล้าน) และ เชย์ กิฟเว่น (5.9 ล้าน) เข้ามาเสริมทีม และเกือบจะได้ กาก้า มาร่วมทีมด้วยค่าตัวเป็นสถิติโลกร่วม 100 ล้านปอนด์ด้วยซ้ำไปหากไม่โดนเทพบุตรลูกหนังปฏิเสธข้อเสนอไปก่อน

แต่นั่นเป็นแค่การซื้อแบบ "แก้ขัด" เท่านั้น

เมกกะโปรเจ็คต์ของจริงของ แมนฯ ซิตี้ เริ่มต้นในช่วงซัมเมอร์นี้ โดยคราวนี้ มาร์ค ฮิวจ์ส วางแผนร่วมกับทีมงานจากตะวันออกกลางในการตามล่า "จิ๊กซอว์" ชิ้นส่วนต่างๆเพื่อเติมเต็มทีมให้ครบถ้วนสมบูรณ์ในฤดูกาลนี้ ซึ่งก็มีการเสริมทีมในทุกจุด

แกเร็ธ แบร์รี่ (12 ล้าน) คือรายแรกทีย้ายมาจากแอสตัน วิลล่า มาคุมเกมแดนกลางก่อนที่จะได้ โรเก้ ซานตา ครูซ อดีตลูกทีมจากแบล็คเบิร์น (18 ล้าน) และ คาร์ลอส เตเวซ ที่แมนฯ ซิตี้ จ่ายเงิน 25 ล้านปอนด์ให้กับ MSI เพื่อดึงตัวมาร่วมทีมอย่างถาวร

จากนั้นเป็นดูโออาร์เซนอล เอ็มมานูเอล อเดบายอร์ (25 ล้าน) และโคโล ตูเร่ (16 ล้าน) ที่ตบเท้าตามเข้ามา

ล่าสุด โจเลียน เลสค็อตต์ กำลังจะเป็นนักเตะคนล่าสุดของ แมนฯ ซิตี้ ด้วยค่าตัว 24 ล้านปอนด์ ซึ่งเท่ากับว่าในระยะเวลาแค่ปีเศษๆ ซิตี้ ซื้อนักเตะระดับชั้นนำมาร่วมทีมถึง 9 คน (ยังไม่ได้นับ ฌอน ไรท์ ฟิลลิปส์ และแว็งซองต์ กอมปานีย์ ที่ซื้อมาก่อนหน้าการเทคโอเวอร์)

ระยะเวลา 12-13 เดือนที่ผ่านมา ทำให้ทุกคนลืมภาพ แมนฯ ซิตี้ ที่ปั้นนักเตะเก่งระดับต้นๆของประเทศไปหมด

ทั้งที่ก่อนนี้ถ้าพูดถึง ซิตี้ ก็ต้องนึกถึง ฌอน-แบร๊ดลีย์ ไรท์ ฟิลลิสป์, ไมเคิล จอห์นสัน, ไมกาห์ ริชาร์ดส, สตีเฟ่น ไอร์แลนด์ หรือเนดุม โอนูโอฮา และหลายคนอาจไม่รู้ว่า แมนฯ ซิตี้ เป็นทีมที่มีทีมเยาวชนเก่งที่สุดในอังกฤษ เคียงข้างลิเวอร์พูล กับอาร์เซนอล เลยทีเดียว

กับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น มันเป็นเรื่องง่ายที่จะวิพากษ์ข้างเดียวว่าเป็นแนวทางที่น่ารังเกียจ เพราะในวงการฟุตบอล การใช้เงินมากมายมหาศาลเพื่อซื้อความสำเร็จนั้นมักได้รับการต่อต้านเสมอ

แต่มันไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ เพราะในอดีต แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ก็เคยได้รับการสนับสนุนทางการเงินจาก แจ็ค วอล์คเกอร์ อดีตเจ้าของสโมสรผู้ล่วงลับที่บันดาลแชมป์ให้กับสโมสรเป็นครั้งแรกในรอบ 80 ปี เช่นกันกับความสำเร็จของ โรมัน อบราโมวิช ในการเติมเต็มให้เชลซี กลายเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก 2 สมัย รองแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก พร้อมการสถาปนาทีมขึ้นมาเป็นยักษ์ใหญ่เคียงข้าง ลิเวอร์พูล กับแมนฯ ยูไนเต็ด แบบถาวร

โดยที่ทุกวันนี้ก็แทบไม่มีใครมาสนใจเรื่องการเป็นเจ้าบุญทุ่มของ เชลซี อีกแล้ว

ดังนั้นถ้าจะถามว่าผิดหรือที่เลือกแนวทางนี้? มันคงไม่มีคำตอบที่ชัดเจนชนิด "ขาว" หรือ "ดำ"

เพราะบ่อยครั้งที่เราพบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้มันเกิดขึ้นแบบสี "เทา"

และท้ายที่สุดแล้วเราทุกคนก็สนใจกับ "ผลลัพธ์" มากกว่า "ต้นกำเนิด" เสมอ
ขอขอบคุณMSNฟุตบอล

รีดเตรียมลาไทยรับงานมือขวาสโต๊ค


ปีเตอร์ รีด โค้ชทีมชาติไทยเตรียมเดินทางกลับไปรับงานในบ้านเกิดกับทีม "ช่างปั้นหม้อ" สโต๊ค ซิตี้ ในฐานะผู้ช่วยผู้จัดการทีมของ โทนี่ พูลิส


รีด เดินทางกลับบ้านเกิดไปชมเกมระหว่าง สโต๊ค กับเบอร์มิงแฮม โดยนั่งชมอยู่ในบ๊อกซ์ผู้บริหารของสนาม เซนต์ แอนดรูว์ส ซึ่งทางด้าน พูลิส ก็เผยว่าเวลานี้มือขวาคนเดิมอย่าง เดวิด เคมป์ ได้ย้ายไปทำงานในฐานะแมวมองทางแอฟริกาใต้ และต้องการได้รีด มาารับหน้าที่

"เขาต้องการจะกลับมาอังกฤษ ซึ่งมือขวาของผม เดวิด เคมป์ ก็กำลังจะย้ายไปแอฟริกาใต้ เพื่อช่วยเหลืองานแมวมองของเราที่นั่นหลังประสบปัญหา"

"ปีเตอร์ เป็นคนสเกาเซอร์ที่ชัดเจน ตรงไปตรงมา และเป็นคนที่ผมรู้จักมานาน เราต้องการคนที่มีบุคลิกและประสบการณ์แบบนี้"

"ยังมีประเด็นบางเรื่องที่ต้องจัดการในการที่จะทำให้เขายกเลิกสัญญากับทางสมาคมฟุตบอลไทย แต่เราไม่เชื่อว่ามันจะเป็นปัญหาสำหรับเรา"
ขอขอบคุณMSNฟุตบอล

วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2552

บาร์ซ่ายันไม่เลิกหวังซิวเซสก์


บาร์เซโลน่า ยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจที่จะคว้าตัว เซสก์ ฟาเบรกาส กัปตันทีมอาร์เซน่อล มาร่วมทีมก่อนปิดตลาดซื้อขายนักเตะ จากการเปิดเผยของสื่อในแดนกระทิงดุ
โอน่าเอฟเอ็ม อ้างว่า ฟาเบรกาส ยังคงเป็นเป้าหมายเบอร์ 1 ของยักษ์ใหญ่แห่งแคว้นคาตาลันที่พร้อมจะจ่ายค่าตัว 30 ล้านยูโร (ราว 1,500 ล้านบาท) สำหรับเพลย์เมกเกอร์รายนี้
พรีเมียร์ลีกกำลังจะออกสตาร์ทฤดูกาลใหม่ในสัปดาห์หน้า และบาร์ซ่า ก็พร้อมที่จะลองยื่นข้อเสนออีกครั้ง แม้ว่าความเป็นไปได้ที่ "ปืนใหญ่" จะปล่อยตัว ฟาเบรกาส แทบจะเป็นศูนย์ก็ตาม
อย่างไรก็ตาม เชื่อกันว่า บาร์ซ่า น่าจะมีโอกาสมากขึ้นในช่วงซัมเมอร์หน้าหากอาร์เซน่อล ยังคว้าน้ำเหลวในซีซั่นนี้เนื่องจาก ฟาเบรกาส ยอมรับว่าเขาอยากจะกลับมาลงเล่นในถิ่นคัมป์ นู อีกครั้งในอนาคต
ขอขอบคุณMSNฟุตบอล

ปิร์โล่เผยบอกปัดเชลซีเพื่อซิวสคูเด๊ตโต้กับมิลาน


อันเดรีย ปิร์โล่ มิดฟิลด์ตัวกลั่นของเอซี มิลาน ออกมาเผยว่าตนเองปฏิเสธโอกาสที่จะได้ย้ายไปเล่นให้เชลซี เนื่องจากเชื่อว่าจะสามารถคว้าแชมป์เซเรีย อา ร่วมกับทีมปีศาจแดงดำได้
ปีร์โล่ตกเป็นเป้าหมายหลักของเชลซีตลอดซัมเมอร์ ขณะที่เจ้าตัวก็เกือบๆ จะย้ายตาม คาร์โล อันเชล็อตติ ไปเล่นในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจอยู่กับมิลานต่อ
กองกลางทีมชาติอิตาลีวัย 30 ปี กล่าวว่า "ผมรู้ว่ามีข้อเสนอที่ดีเยี่ยมมาจากเชลซี เอเย่นต์ของผมคอยรายงานความคืบหน้าตลอด แต่ผมก็ไม่ได้ตั้งตารอฟังข่าวทางโทรศัพท์ตลอดซัมเมอร์หรอก"
"เหตุผลที่ผมอยู่กับมิลานต่อก็ง่ายๆ เพราะผมอยากจะอยู่ต่อและไม่เคยอยากย้ายอยู่แล้ว ผมขอสารภาพว่าผมรู้เรื่องราวต่างๆ แค่ 3 คืนก่อนหน้าที่แบร์ุลุสโคนี่จะบินมาจัดการ"
"ถามว่าอันเชล็อตติยอมรับเรื่องนี้ได้ดีไหม ผมว่าคงไม่ เขาผิดหวัง แต่เขาก็เข้าใจ บางเรื่องก็ต้องทำให้แน่ชัด หากผมคิดว่าเป้าหมายของมิลานเป็นไปไม่ได้ ผมก็คงย้ายไปเชลซีแล้ว"
"ผมต้องการเป็นแชมป์ นี่ไม่ใช่แค่คำพูดลอยๆ ผมมั่นใจว่ามันเป็นไปได้" ปิร์โล่กล่าว
ขอขอบคุณMSNฟุตบอล

วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ฮันเตอร์มาแล้ว ตกลงเซ็นมิลาน 4 ปี


เอซี มิลาน ยืนยันตกลงสัญญาซื้อตัว คลาส-แยน ฮุนเตลาร์ ดาวยิงดัตช์มาจากเรอัล มาดริดเรียบร้อยด้วยค่าตัว 15 ล้านยูโร หรือราว 750 ล้านบาท ด้านนักเตะบินมาถึงมิลานแล้วรอเปิดตัววันศุกร์ที่ 7 ส.ค.นี้
มิลานประกาศผ่านเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของสโมสรเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 6 ส.ค.ที่ผ่านมาว่าได้ตัวฮุนเตลาร์มาเป็นสมาชิกใหม่เป็นที่เรียบร้อน
ใจความของแถลงการณ์ระบุว่า "เอซี มิลาน ขอแจ้งว่าสโมสรได้ตกลงกับเรอัล มาดริดในการซื้อตัวคลาส-แยน ฮุนเตลาร์แล้ว นักเตะดัตช์จะเข้ารับการตรวจร่างกายพรุ่งนี้ และจะเซ็นสัญญาถึงปี 2013"ด้านหัวหอกทีมชาติฮอลแลนด์ ซึ่งเพิ่งเดินทางมาถึงมิลานเมื่อเย็นวันพฤหัสบดี จะเข้ารับการตรวจร่างกาย และเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ในวันศุกร์ที่ 7 ส.ค.ต่อไป
แม้ยังไม่มีการยืนยันค่าตัว แต่สื่อเลี่ยนรายงานว่าจะอยู่ที่ราว 15 ล้านยูโร หรือราว 750 ล้านบาท
ขอขอบคุณMSNฟุตบอล

ยูเว่ไม่หยุดเสริมทีม ยืมกาเซเรสจากบาร์ซ่าอีก


ยูเวนตุส จัดการยืมตัว มาร์ติน กาเซเรส กองหลังอุรุกวัยมาจากบาร์เซโลน่าเป็นที่เรียบร้อย โดยมีออปชั่นซื้อขาดหลังจบซีซั่นนี้ด้วย
กา เซเรส กองหลังทีมชาติอุรุกวัยย้ายจากบียาร์เรอัล มาอยู่กับบาร์เซโลน่า ในฤดูกาลที่ผ่านมา แต่ไม่อยู่ในแผนการทำทีมของกุนซือ โจเซป กวาร์ดิโอล่า จึงได้ลงเล่นแค่ 13 นัดเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ เจ้าตัวจึงตอบรับโอกาสที่จะได้ย้ายมาเล่นให้ยูเว่ทันทีเมื่อได้รับการติดต่อ
รายงานระบุว่า ยูเว่จะต้องรับผิดชอบจ่ายค่าเหนื่อยของกาเซเรสเต็มจำนวนตลอดระยะเวลาในการ ยืมตัว แต่จะได้สิทธิ์ในการซื้อขาดนักเตะหลังจบซีซั่นนี้ ในราคา 11 ล้านยูโร หรือราว 550 ล้านบาท บวกกับเงินพิเศษอีก 1 ล้านยูโร หรือ 50 ล้านบาท หากทำผลงานได้ตามเป้าหมายด้วย
ทั้งนี้ กาเซเรส กลายเป็นนักเตะคนที่ 4 ที่ทีมม้าลายดึงมาเสริมทัพในซัมเมอร์นี้ต่อจาก ฟาบิโอ คันนาวาโร่, ดิเอโก้ และเฟลิเป้ เมโล่
ขอขอบคุณMSNฟุตบอล

วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ยังมีลุ้น สื่อเผยอาคิลานี่อาจมาหงส์


สื่อผู้ดีเผย ยังมีโอกาสเป็นไปได้ที่ อัลเบอร์โต้ อาคิลานี่ จะย้ายมาร่วมทีมหงส์แดง เพื่อมาเป็นตัวแทนอลอนโซ่ หากย้ายไปราชันจริง
ลิเวอร์พูล ยังตกเป็นข่าวพัวพันเรื่องการคว้าตัว อัลเบอร์โต้ อาคิลานี่ กองกลางตัวเก่ง โรม่า มาร่วมทีม ตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ล่าสุดสื่อเมืองผู้ดีพากันประโคมข่าวว่าโรม่าจะปล่อย อาคิลานี่ ให้ ลิเวอร์พูล ที่ค่าตัว 18 ล้านปอนด์ ประมาณ 990 ล้านบาท
อาคิลานี่ ตกเป็นข่าวกับลิเวอร์พูลเนื่องจาก ทีมต้องการหาตัวแทน ชาบี อลอนโซ่ ที่มีท่าทีจะย้ายออกจากแอนฟิลด์ไปอยู่กับราชันชุดขาว อีกทั้งโรม่ายังต้องการเงินมาปลดหนี้ให้สโมสร เมื่อรวมกันแล้วทำให้หลายฝ่าย มีความเห็นว่า กรณีนี้น่าจะมีความเป็นไปได้มาก
ขอขอบคุณMSNฟุตบอล

สื่อเผยเชลซี ใกล้ได้ตัวปีร์โล่


สื่อ ผู้ดีเผย คาร์โล อันเชล็อตติ กุนซือ เชลซี ใกล้สมหวังที่จะได้ตัวศิษย์เก่า อันเดรีย ปีร์โล่ มิดฟิลด์ตัวเก่งของ เอซี มิลาน มาร่วมงานกันอีกครั้งในถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ส
สื่อ ในอังกฤษ เปิดเผยข่าวว่า คาร์โล อันเชล็อตติ ผู้จัดการทีมคนใหม่ของสโมสร เชลซี ใกล้สมหวังที่จะได้ตัว อันเดรีย ปีร์โล่ มิดฟิลด์ตัวเก่งของ เอซี มิลาน มาร่วมงานกันอีกครั้งในถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ส แต่ตอนนี้ติดปัญหาเรื่องยังไม่สามารถเจรจาตกลงเรื่องสัญญาส่วนตัวของ เคลาดิโอ ปิซาร์โร่ ศูนย์หน้าทีมชาติเปรู ที่จะเป็นส่วนหนึ่งในข้อเสนอที่ยื่นให้ ปีศาจแดง-ดำ พิจารณาปล่อยตัว ปีร์โล่ มาร่วมทีม
อย่างไรก็ตาม ถ้าหาก ปิซาร์โร่ ปฏิเสธไม่ขอย้ายไปอยู่กับ เอซี มิลาน จริง ทาง เชลซี ก็พร้อมจะทุ่มเงินจำนวน 18 ล้านยูโร หรือประมาณ 810 ล้านบาท ให้ทาง มิลาน ปล่อยตัว ปีร์โล่ ให้กลับมาร่วมงานกับ อันเชล็อตติ อดีตเจ้านายเก่าอีกครั้งในถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ส
ขอขอบคุณ MSNฟุตบอล

วันพุธที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เพื่อนๆ เชื่อมั่นเหยินน้อยพามิลานฉลุย


มาร์โก บอร์ริเอลโล่ และ จานลูก้า ซามบร็อตต้า เชื่อมั่นในตัว เหยินน้อย โรนัลดินโญ่ ว่าจะสามารถก้าวขึ้นมาสวมบทบาทแทน กาก้า พาทีมมิลานยิ่งใหญ่ได้อย่างแน่นอน
มาร์โก บอร์ริเอลโล่ และ จานลูก้า ซามบร็อตต้า 2 นักเตะทีม เอซี มิลาน แสดงความเชื่อมั่นว่า โรนัลดินโญ่ เพลย์เมกเกอร์ซูเปอร์สตาร์ชาวบราซิล จะสามารถก้าวขึ้นมาทดแทนตำแหน่งของ กาก้า ที่ย้ายไปร่วมทีม เรอัล มาดริด ในช่วงซัมเมอร์ ได้อย่างสบายๆ แม้จะไม่อาจแจ้งเกิดกับทีมได้ในฤดูกาลแรกก็ตาม
บอร์ริเอลโล่ กล่าวผ่านเว็บไซต์ของสโมสรว่า "ผมคาดหวังกับเขาเอาไว้สูงมาก และหวังว่า เขาจะสามารถย้อนฟอร์มการเริ่มต้นอันยอดเยี่ยมเหมือนเมื่อฤดูกาลก่อนได้ ผมคิดว่าการที่ กาก้า ย้ายทีมไป สภาพจิตใจเขาคงอิสระมากขึ้น ผมแน่ใจว่าในฤดูกาลนี้ เราจะได้ค้นพบ โรนัลดินโญ่ ผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งจะยกระดับพวกเขาได้อีกขั้น"
ด้าน ซามบร็อตต้า ชี้ว่า ซีเนดีน ซีดาน ตำนานนักเตะทีมชาติฝรั่งเศส คือเพื่อนร่วมทีมที่เยี่ยมสุดเท่าที่ตนเคยพบมา แต่ โรนัลดินโญ่ มาเป็นอันดับที่สอง "เมื่อปีที่แล้วถือเป็นปีใหม่สำหรับตัวเขา แต่ผมคิดและหวังว่าในปีนี้เขาจะสามารถสร้างความแตกต่างได้ และเริ่มต้นฤดูกาลด้วยไฟที่ลุกโชน ในหมู่เพื่อนร่วมทีมที่ผมได้พบเจอมาในอาชีพนี้ ซีดาน จัดว่ายอดที่สุด จากนั้นก็ โรนัลดินโญ่ และ กาก้า"

ขอขอบคุณ MSN ฟุตบอล

ราฟาเตรียมแผนดึง อาควิลานี่


ราฟาเอล เบนิเตซ เตรียมเล็งคว้า อาควิลานี่ กองกลางจากรังหมาป่ากรุงโรมมาแทน ชาบี อลอนโซ่ ที่อาจจะมีสิทธิถูก ราชันชุดขาว ซื้อตัวไปร่วมทัพ
สกาย สปอร์ต สื่อชื่อดังจากประเทศอังกฤษ เปิดเผยว่า ราฟาเอล เบนิเตซ ผู้จัดการทีมหงส์แดงลิเวอร์พูล ยังคงไม่นิ่งนอนใจแม้เพิ่งประกาศไปว่าไม่คิดจะขายนักเตะในทีมออกไปอีกแล้ว โดยเตรียมแผนเอาไว้หากต้องปล่อย ชาบี อลอนโซ่ กองกลางชาวสเปนให้กับ เรอัล มาดริด ซึ่งมีเป้าหมายหวังคว้าตัว อัลแบร์โต้ อาควิลานี่ มิดฟิลด์ทีมโรม่า มาทำหน้าที่แทน ในราคาค่าตัวที่ 20 ล้านยูโร หรือประมาณ 1,000 ล้านบาท

ขอขอบคุณ MSN ฟุตบอล

วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ลิปปี้ชี้เป็นอิตาลีที่แย่สุดเท่าที่เคยคุมมา

มาร์เชลโล่ ลิปปี้ กุนซือทีมชาติอิตาลี ออกมายอมรับว่าทีมชุดที่ล้มเหลวตกรอบแรกคอนเฟดเดอเรชั่นส์ คัพ คือทัพอัซซูรี่ที่แย่ที่สุดเท่าที่ตนเคยคุมมา
หลังจากพ่ายอียิปต์แบบล็อกถล่มมา 0-1 ต่อด้วยการพ่ายบราซิล 0-3 ร่วงตกรอบแรกไปอย่างน่าขายหน้า ลิปปี้ก็ออกมารับผิดชอบในความล้มเหลว พร้อมยอมรับว่านี่คือทีมที่แย่ที่สุดเท่าที่เคยคุมมา
"นี่คือช่วงเวลาที่แย่ที่สุดที่ผมเคยเห็นนับตั้งแต่เคยคุมอิตาลีมา ผมไม่เคยบอกว่านี่จะเป็นชุดที่ไปเวิลด์คัพ เราจะต้องปรับกันอีกมา"
"โปรเจ็คท์สร้างทีมเรายังดำเนินต่อ นี่จะเวลาที่ต้องสร้างทีมใหม่ เราจะเดินหน้าต่อไป เรายังมีสปิริตและใจสู้เช่นเดิม แค่บางอย่างขาดหายไป" ลิปปี้กล่าว
ข้อมูลจาก : MSN ฟุตบอล วันที่ : 6/23/2009

กาก้าหนุนเรอัลเซ็นปิร์โล่ร่วมรัง


กาก้า เพลย์เมกเกอร์แซมบ้า ยอมรับไม่อยากเชื่อว่าบราซิลจะถล่มอิตาลีสบาย 3-0 ในเกมคอนเฟดเดอเรชันส์คัพเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา แต่ยังยกย่อง อันเดรีย ปิร์โล่ มิดฟิลด์อัซซูรี่ยังแกร่ง และหวังให้ชุดขาวคว้าตัวมาร่วมทัพหากนักเตะจะย้ายจากเอซี มิลานจริง
กาก้า กล่าวหลังจบเกมที่ทีมชาติบราซิลถล่มอิตาลี3-0 เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาว่า "ชัยชนะ 3-0 ถือว่าน่าตกใจสำหรับผม แต่มันแสดงให้เห็นว่าเราเล่นได้ดีมาก"
"เราแฮปปี้มากกับผลการแข่งขัน และเข้ารอบได้สบาย ตอนนี้ เราจำเป็นต้องคิดถึงเกมต่อไป และยังไม่หวังถึงเข้าชิงกับสเปน"
"ผมรู้สึกเสียใจแทนอิตาลี เพราะไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะแพ้ 2 นัดในคอนเฟดฯ แต่พวกเขาก็ยังคงเป็นทีมที่แข็งแกร่ง และทุกคนรู้ว่าพวกเขาก็คือแชมป์โลก ผมเองรู้ึสึกเป็นหนี้อิตาลี ผมประสบความสำเร็จทุกอย่างที่นั่น"
"แต่หากปิร์โล่ จะย้ายทีมจริง ผมก็อยากจะแนะให้เรอัล มาดริดซื้อเขา" ปิร์โล่ทิ้งท้าย

ข้อมูลจาก : MSN ฟุตบอล วันที่ : 6/23/2009

วันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

มิลานชั่งใจปล่อยปิร์โล่แลกเอสเซียง


เอซี มิลาน กำลังพิจารณาปล่อย อันเดรีย ปิร์โล่ กองกลางทีมชาติอิตาลี ไปให้กับ เชลซี เพื่อแลกกับ มิชาเอล เอสเซียง มิดฟิลด์ทีมชาติกานา หลังมีข่าวสิงห์บลูส์สนใจปิร์โล่

ก่อนหน้านี้เพิ่งมีข่าวว่าเชลซีจะเดินหน้าทาบทามซื้อปิร์โล่มาจากมิลาน หลังจากที่ดึง คาร์โล อันเชล็อตติ กุนซือปีศาจแดงดำไปคุมทีมในฤดูกาลหน้า
ล่าสุด"คอร์ริเอเร่ เดลโล่ สปอร์ต" หนังสือพิมพ์กีฬารายวันในอิตาลี รายงานว่ามิลานเองก็พร้อมที่จะปล่อยตัวปิร์โล่ที่มีอายุพอสมควรแล้วออกไป เพื่อแลกกับเอสเซียง มิดฟิลด์จอมแกร่งของสิงห์บลูส์
อนึ่ง ปิร์โล่ยังมีสัญญากับมิลานถึงปี 2012 ปัจจุบันนี้เขารับค่าเหนื่อยปีละ 6 ล้านยูโร หรือราว 270 ล้านบาท แต่ค่าตัวของเขา คาดว่าน่าจะอยู่ที่ไม่ต่ำกว่า 25 ล้านยูโร หรือ 1,175 ล้านบาท

ฮัมบูร์กหนาวยูเว่จ้องงาบแยนเซ่น


มาร์แซล แยนเซ่น ฟูลแบ๊กทีมชาติเยอรมันของฮัมบูร์ก ตกเป็นเป้าหมายหลักของยูเวนตุส ยอดทีมจากอิตาลี ที่หวังจะยื่นซื้อไปเสริมแนวรับในฤดูกาลหน้า

สื่อเลี่ยนรายงานว่ายูเว่กำลังมองหาฟูลแบ๊กรายใหม่มาเสริมแนวรับที่ผิดพลาดหนักในฤดูกาลนี้ โดยเป้าหมายของพวกเขาก็คือ แยนเซ่น กองหลังดอยท์ชของทีมสิงห์เหนือ
ด้านอเลสซิโอ เซคโค่ ผอ.ฟุตบอลของทีมม้าลายได้เดินหน้าทาบทามไปยังดีทมาร์ เบียสดอร์เฟอร์ ผู้บริหารของฮัมบูร์กแล้ว โดยนอกจากแยนเซ่นแล้ว ยูเว่ยังทาบซื้อพิโอเตอร์ โทรชอฟสกี้ด้วย แต่ฮัมบูร์กยืนยันไม่ขายโทรชอฟสกี้
ส่วนค่าตัวของแยนเซ่นนั้น ทีมสิงห์เหนือตั้งไว้ที่ไม่ต่ำกว่า 15 ล้านยูโร หรือราว 705 ล้านบาทแต่ทางยูเว่จะพยายามต่อรองเหลือ 10 ยูโร หรือ 470 ล้านบาท พร้อมส่ง คริสเตียน โพลเซ่น กองกลางเดนิชพ่วงไปในสัญญาด้วย


ขอขอบคุณMSNฟุตบอล

วันพุธที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2552

แฟนยูเว่ชักฉุนบุฟฟ่อนฟอร์มออกทะเลหนัก


แฟนยูเวนตุส ชักเริ่มไม่พอใจผลงานของ จานลุยจิ บุฟฟ่อน นายทวารทีมชาติอิตาลีที่มักเสียประตูง่ายๆ บ่อยครั้ง โดยเฉพาะเกมล่าสุดที่โดนคิเอโว่บุกมาตีเสมอ 3-3 คาถิ่นโอลิมปิโก เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา


โอกาสที่ยูเว่จะได้ลุ้นแชมป์ถือเป็นเรื่องยาก เมื่อพลาดท่าได้แค่เจ๊าทีมรองบ่อนอย่างคิเอโว่คารัง 3-3 เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา แม้ช็อตที่เสียประตูจะไม่ใช่ความผิดพลาดจังๆ ของจิจี้ แต่เขาก็โดนแฟนบอลรุมโจมตี เพราะรู้สึกว่าตั้งแต่หายเจ็บมา เจ้าตัวก็ไม่อาจโชว์ฟอร์มสุดยอดได้เหมือนที่เคยแต่อย่างใด

ตุ๊ตโต้สปอร์ต นสพ.ในตูรินเปิดโอกาสให้แฟนม้าลายได้ส่งข้อความมาให้ความเห็นเกี่ยวกับทีมรัก ซึ่งปรากฏว่ามีหลายรายที่เปิดฉากเล่นงานบุฟฟ่อน ยกต.ย.เช่น "อีกนานแค่ไหนที่เราต้องทนความผิดพลาดแบบนี้ เมื่อไหร่เราจะกลับมาเป็นยูเว่จริงๆ เสียที เรามีแนวรับที่ห่วยแตก ขณะที่บุฟฟ่อนก็เสีย 2-3 ประตูทุกเกม เขาไม่สมควรเป็นมือหนึ่งแล้ว เอาอเล็กซ์ แมนนิงเกอร์กลับมา"

ขณะที่อีกรายก็ตำหนิกุนซือ เคลาดิโอ รานิเอรี่ว่า "รานิเอรี่เอ๋ย ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา เราต้องกลายเป็นฝ่ายไล่ตามคู่แข่งตลอด เราเบื่อมาก จำได้ไหมว่าเราคือยูเว่ เราต้องการชัยชนะ คุณโยนคะแนนทิ้ง และทำให้ทีมไม่ชนะในบ้านทั้งที่เจอทีมเล็ก เราทนไม่ไหวที่ต้องกลายเป็นตัวตลกอีกต่อไปแล้ว"

นอกจากนี้ ยังมีเสียงวิจารณ์ว่า บุฟฟ่อนอาจอยู่ในช่วงไขว้เขวเนื่องจากมีหลายสโมสรให้ความสนใจ ขณะที่เจ้าตัวเองก็แบะท่าพร้อมจะย้ายทีมทุกเมื่อหากมีสโมสรใดกล้าทุ่มเงินมหาศาลซื้อตัวไปเสริมทัพจริง

ขอขอบคุณMNSฟุตบอล

วันอังคารที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2552

Mission Impossible


ถ้าจะมีใครสักคนบอกว่าลิเวอร์พูล จะยิงถล่มทีมอย่างเรอัล มาดริด กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ทีมละ 4 ประตู อาจจะถูกกล่าวหาว่าไม่บ้าก็เมาได้

แต่มันก็เกิดขึ้นจริง ชนิดที่ต้องปรบมือให้กับความเก่งเหลือเชื่อครั้งนี้ด้วย

ลิเวอร์พูล ได้กลับมาแสดงให้เห็นอีกครั้งว่าพวกเขาเป็นทีมจอมมหัศจรรย์ตัวจริง ในวันที่ "ตั้งใจ" จะเล่นไม่ว่าจะทีมไหน ที่ไหน ก็สามารถเอาชนะได้ทั้งนั้น

แต่ถ้าวันไหนไม่ตั้งใจจะเล่นเต็มสูบ จะทีมไหน ที่ไหน ก็แพ้ได้ เสมอได้เหมือนกัน

โดยเฉพาะในฤดูกาลนี้ ยิ่งคิดมันก็ยิ่งดูน่าตลกเมื่อทีมเดียวกันนี้ที่สามารถชนะได้ทั้งแมนฯ ยูไนเต็ด, เชลซี, เรอัล มาดริด และสร้างปาฏิหารย์คัมแบ็กกลับมาชนะในช่วงท้ายเกมได้บ่อยครั้งในช่วงครึ่งฤดูกาลแรก กลับไม่มีปัญญาจะเอาชนะทีมอย่างสโต๊ค, วีแกน หรือฮัลล์ได้

ตลกร้ายจริงๆ

แต่อย่างน้อยที่สุด การบุกไป "ถล่ม" ปีศาจแดงกระเจิงถึงหลุมนั้น ก็เป็นการปลุกความหวังครั้งใหญ่ในช่วงที่เหลือของฤดูกาลสำหรับลูกทีมของราฟาเอล เบนิเตซ

เหมือนกับครั้งแรกของฤดูกาลที่ชนะในเกมแดงเดือดได้ทำให้เกิด "ความเชื่อ" ว่ามันอาจจะถึงคราวของพวกเขาบ้าง

แม้ในเชิงลึกแล้ว มองกันตามภาพแห่งความเป็นจริงลิเวอร์พูล ก็ไม่ได้ถึงกับชนะอย่าง "ขาดลอย" ตามสกอร์ที่ปรากฏ เพราะพวกเขาไม่ได้เปิดฉากรุกไล่ต้อนตือชนิดที่แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องวิ่งกันขาขวิด และหลายครั้งก็มีอาการปั่นป่วนเมื่อโดนโหมหนักอยู่บ้าง

ลิเวอร์พูล ชนะในเกมนี้ด้วยสกอร์ขาดลอยขนาดนี้เพราะ "จังหวะ" มันเข้าทาง โดยมาพร้อมกันกับ "ความเฉียบขาด" ที่หายไปนาน

น่าสังเกตว่าหงส์แดง กลับมาระเบิดฟอร์มระดับนี้ได้เพราะมีศูนย์หน้าที่ชื่อเฟร์นานโด ตอร์เรส ยืนค้ำยันอยู่ข้างหน้าโดยมีสตีเว่น เจอร์ราร์ด คอยดันให้ข้างหลัง (อย่าคิดลึก)

"เอล นินโญ่" มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งกับรูปเกมทั้ง 2 นัดที่ถลุงเรอัล มาดริด และถล่มแมนฯ ยูไนเต็ด เพราะแม้จะมีข่าวว่าไม่ฟิตเต็มร้อยนักและเพิ่งจะเรียกความฟิตกลับมาลงเล่นได้แบบฉิวเฉียดในเกมแรก ถึงขั้นต้องฉีดยาชาก่อนลงสนามด้วยซ้ำ แต่ความเร็ว ความแข็งแกร่ง และไหวพริบของตอร์เรส สร้างปัญหาให้กับแนวรับเป็นอย่างมาก

แม้กระทั่ง เนมันย่า วิดิช หนึ่งในกองหลังที่ดีที่สุดของโลกในเวลานี้ก็ยังกลายสภาพจาก "เซอร์บิเนเตอร์" เป็น "เซ่อบิเนเด้อ" โดนตอร์เรส เล่นงานจนแทบเสียคน

ประตูตีเสมอที่ลิเวอร์พูลได้ มันอาจจะเป็นจังหวะที่ก้ำกึ่งอยู่บ้างว่าเป็นการฟาวล์หรือไม่ เพราะมือของตอร์เรส ไป "สัมผัส" กับตัวของวิดิช เล็กน้อยก่อนจะโฉบเอาบอลไปยิงประตู แต่จังหวะเดียวกันนี้แหละที่สะท้อนให้เห็นว่า วิดิช มีอาการ "ผวา" กับตอร์เรส ลังเลปล่อยบอลกระดอนพื้นก่อนที่จะโดนความเร็วที่เหนือกว่าแย่งเอาบอลไปราวกับพญาเหยี่ยวโฉบคว้าเหยื่อไปกิน

ประตูนี้เองที่สั่นประสาทแนวรับของแมนฯ ยูไนเต็ด ทำให้ทีมที่เคยไม่เสียประตูนานติดต่อกันร่วม 14 นัด โดนยิงรวดเดียวถึง 4 ลูก

ก่อนที่วิดิช จะไปเสียคนอีกครั้งในช่วงครึ่งหลังเมื่อไป "ดึงเป้า" ของสตีเว่น เจอร์ราร์ด จนโดนใบแดงไล่ออกไป

ด้วยฟอร์มของตอร์เรส ทำให้ปฏิเสธไม่ออกเหมือนกันว่าการขาดกองหน้าแชมป์ยูโรที่พี่เจิดซูฮกยกให้เป็นกองหน้าหมายเลขหนึ่งของโลกไปหลายต่อหายนัดในฤดูกาลนี้ มันส่งผลเสียหายต่อโอกาสลุ้นแชมป์ของลิเวอร์พูลเหมือนกัน

ฤดูกาลนี้ ตอร์เรส ลงเล่นในลีกให้กับลิเวอร์พูล แค่ 16 นัดจาก 29 นัด หายไปถึง 13 นัดด้วยกัน โดยส่วนใหญ่ก็เป็นอาการบาดเจ็บที่แฮมสตริงซึ่งต่อเนื่องมาโดยตลอด

มันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะชวนให้คิดว่าถ้ามีตอร์เรส อยู่ครบทุกนัด ป่านนี้ลิเวอร์พูล อาจจะนำหน้าทุกทีมอยู่ก็ได้

แต่เรื่องนั้นไม่สำคัญอีกแล้ว ไม่ต้องไปคิดถึงมัน

สิ่งสำคัญที่ราฟาเอล เบนิเตซ พยายามเน้นย้ำมี 2 เรื่อง คือหนึ่งปลุกใจลูกทีมด้วยผลการแข่งขันทำให้มีความเชื่อว่าทุกนัดที่เหลือของฤดูกาล พวกเขาไม่ต้องกลัวใครอีกแล้ว

และสองปลุกใจทีมอื่นๆให้เห็นว่าทีมอย่างแมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ใช่จะแตะไม่ได้พ่ายไม่เป็น

ข้อสองนี่แหละที่สำคัญเพราะช่วงก่อนหน้านี้หลายทีมลงสนามในการเจอกับกองทัพอสูรแดงของเฟอร์กี้ ด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง ทั้งที่ความจริงมีหลายนัดเหลือเกินที่แมนฯ ยูไนเต็ด เล่นได้ต่ำกว่ามาตรฐานแต่ก็ยังสามารถเอาชนะได้ ไม่ว่าจะด้วยฝีมือหรือโชคชะตาก็ตามที

ความหวังของราฟา จึงแยกเป็นสองส่วน ทั้งส่วนของทีมตัวเองที่ก็ห้ามพลาดอีกแล้ว และส่วนของทีมอื่นๆที่จะช่วยกันหยุดปีศาจแดงให้

มองในแง่นี้แล้วก็ยังนับว่าน่า "เหนื่อย" เพราะลิเวอร์พูล มันมีภาพเก่าๆของทีมที่พลาดง่ายๆโผล่ให้เห็นประจำ

ในทางตรงข้าม แมนฯ ยูไนเต็ด ก็มีภาพของทีมที่ชนะง่าย แพ้ยาก ติดตาอยู่เสมอ

แต่เวลานี้ เมื่อมันเกิดประกายของ "ปาฏิหารย์" ที่โอลด์ แทรฟฟอร์ดไปแล้ว คงไม่ผิดอะไรถ้าจะบอกให้เดอะ ค็อป ทั้งหลายว่าอย่าเพิ่งเลิกหวัง

พวกคุณมีสิทธิ์ที่จะหวังอยู่ว่าท้ายที่สุด ปาฏิหารย์จะบังเกิด และแชมป์จะกลับมาสู่แอนฟิลด์อีกครั้ง


ขอขอบคุณ MSN ฟุตบอล

ยอดเพชฌฆาต ปิ๊ปโป้ อินซากี้


ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อว่ากองหน้าวัยแตะหลัก 36 ปี จะยังคงค้าแข้งกับทีมชั้นนำของยุโรป และยิงประตูได้เป็นกอบเป็นกำจนล่าสุดแตะหลัก 300 ลูกไปแล้ว แต่นั่นคือผลงานของ ฟิลิปโป้ อินซากี้ หัวหอกจอมดีดดิ้นของเอซี มิลานจริงๆ

หลายคนอาจไม่ชอบใจกับลีลาพุ่งล้มระดับตุ๊กตาทองของเขา ขณะที่บางคนก็เบื่อหน่ายกับการล้ำหน้าไม่บันยะบันยังของเจ้ากุ้ง

แต่หากถามแฟนบอลเอซี มิลาน และทีมชาติอิตาลีแล้ว เขาคือสุดยอดกองหน้าอีกคนหนึ่งแห่งยุค ที่มีความขยัน มีวินัย อดทน ดูแลตัวเองอย่างมืออาชีพ

ไม่ว่าทีมปีศาจแดงดำจะมีศูนย์หน้าใหม่ๆ หรือหัวหอกดาวรุ่งคนไหนมาเสริมทัพ แต่ปิ๊ปโป้ไม่เคยบ่นน้อยใจ หรือแสดงท่าทีฮึดฮัดยามไม่ได้ลงสนาม หรือเป็นสำรอง

และแม้ในวัยขึ้นเลข 3 ปิ๊ปโป้จะต้องเจออุปสรรคในชีวิตค้าแข้งมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาการบาดเจ็บที่รุมเร้าตลอดปี 2004-05 แต่้้เขาก็เลือกที่จะสู้กับมัน

ข้อเท้า คือปัญหาใหญ่สำหรับอินซากี้ แต่นอกจากนั้นยังมีอาการเจ็บที่หลัง, หัวเข่า และศอก ที่รุมเร้าเป็นระยะ ทำให้เขาต้องพักยาวไปเกือบๆ 2 ปี

หลายคนมองว่าปิ๊ปโป้ในตอนนั้นคงไม่มีวันกลับมาคืนฟอร์มสุดยอดของเขาได้อีก ขณะที่แพทย์เคยวินิจฉัยว่าเขาอาจจะต้องแขวนสตั๊ด

นักเตะบางคนได้ยินหมอพูดแบบนี้อาจจะถอดใจ แต่ปิ๊ปโป้กลับทำงานหนักกว่าคนอื่นสองเท่าเพื่อเรียกความฟิตกลับมาด้วยใจมุ่งมั่น

กระทั่งหายกลับมาลงเล่นในซีซั่น 2005-06 ซึ่งเป็นปีที่นักเตะอัซซูรี่ต้องโชว์ฟอร์มให้เตะตา มาร์เชลโล่ ลิปปี้ อิล ชิที อิตาลี เพื่อเลือกเป็น1 ใน 23 ขุนพลลุยเวิลด์คัพให้ได้

ดาวยิงจอมเก๋าสร้างปาฏิหาริย์ด้วยการโชว์ฟอร์มที่ยอดเยี่ยมกับมิลานในฤดูกาลนั้น โดยยิง 12 ประตูจากการลงเล่น 23 นัดในเซเรีย อา

ฟอร์มที่ยอดเยี่ยม บวกด้วยความมุ่งมั่น ทำให้เขาได้รับเสียงเชียร์จากแฟนบอล และสื่อมวลชนอิตาลีให้อิล ชิที ลิปปี้เรียกตัวเขาไปติดธงลุยฟุตบอลโลก 2006

แม้แทบไม่มีส่วนร่วมในรอบคัดเลือกเพราะเจ็บยาวมาตลอด แต่บุญพาวาสนาส่งให้เจ้ากุ้งน้อยติดธงไปเวิลด์คัพ เพราะคริสเตียน วิเอรี่ ดาวยิงของโมนาโกในตอนนั้นโชคร้ายได้รับบาดเจ็บที่เข่าซ้าย หายไม่ทัน

แม้จะยิงได้ประตูเดียวทั้งทัวร์นาเม้นต์ลูกหนังโลก ในเกมรอบแรกที่อิตาลีเอาชนะสาธารณรัฐเชกไป 2-0 แต่ก็มีส่วนสำคัญต่อการช่วยให้ทัพอัซซูรี่ผงาดคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกไปครองอย่างยิ่งใหญ่

อินซากี้ยังไม่หยุดอยู่แค่นั้น จากฮีโร่เวิลด์คัพ เขายังเป็นฮีโร่ผู้ยิง 2 ประตูชัยให้มิลานชนะลิเวอร์พูล 2-1 ในนัดชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ฤดูกาล 2006-07 ด้วย

ทุกวันนี้ ปิ๊ปโป้ ในวัย 36 ปี ยังคงเป็นตัวทีเด็ดของมิลาน แม้จำนวนนัดในการออกสตาร์ทเป็นตัวจริงจะลดลง เมื่อสัปดาห์ก่อนเขาเพิ่งประกาศศักดา ซัดแฮตทริกช่วยให้ทีมปีศาจแดงดำชนะอตาลันต้า 3-0

เท่านั้นไม่พอ เขายังเพิ่งจะเหมากดสองตุง ยิงประตูที่ 300 ในชีวิตค้าแข้ง ช่วยให้เอซี มิลาน ถล่มเซียน่าเละ 5-1 มาหมาดๆ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 15 มี.ค.ที่ผ่านมานี่เอง

แม้จะเคยเสเพลมามาก แต่เขาไม่เคยทำให้กระทบต่อหน้าที่การงาน แตกต่างจากโบโบ้ วิเอรี่ คู่ซี้นอกสนามที่จนป่านนี้ยังไม่อาจเรียกฟอร์มสุดยอดกลับมาได้

อินซากี้บอกว่าเขาเหมือนกลับไปเป็นเด็กหนุ่มอีกครั้งหลังจากเพิ่งโชว์ฟอร์มร้อนแรง แต่หัวหอกจอมเก๋าเผยเคล็ดลับว่าสิ่งสำคัญที่หนุนหลังให้เขาเดินมาไกลจนวันนี้ก็คือ ผู้หญิง 2 คนที่มีความหมายมากที่สุดในชีวิต

คนแรกคือ แม่ของเขา และอีกคนคือ อเลสเซีย เวนตูร่า โชว์เกิร์ลรายการทีวี และดาราหุ่นเซ็กซี่ แฟนสาวคนสวยของเขานั่นเอง

นอกจากจะขยันทุ่มเท เป็นมืออาชีพ และมีสปิริตสูงแล้ว สาวสวยยังเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เจ้ากุ้งยังเดินหน้าล่าตาข่ายไม่หยุดจนถึงทุกวันนี้...เป็นเคล็ดที่ไม่ลับ ที่กองหน้าคนไหนจะเอาเป็นแบบอย่างก็ได้

ขอขอบคุณ MSN ฟุตบอล

วันพฤหัสบดีที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2552

อาร์เซนอล vs. วิลล่า


ผ่านมาถึงช่วงใกล้โค้งสุดท้ายของฤดูกาล หนึ่งในศึกที่น่าจับตามองที่สุดคือการปะทะกันระหว่างทีมไฟแรงที่อยากจะแทรกตัวเข้ามาเป็นท็อปโฟร์เหลือเกินอย่างแอสตัน วิลล่า กับเจ้าของพื้นที่เดิมอย่างอาร์เซนอล

การขับเคี่ยวของสองทีมนี้ที่ผ่านมาเป็นไปไม่ถึงกับดุเดือดหรือร้อนแรงนัก เพราะฝ่ายหนึ่งทำท่าเหมือนจะหมดลมหายใจ ขณะที่อีกฝ่ายก็ดีวันดีคืน

แต่สถานการณ์ตอนนี้กำลังจะพลิกกลับตาลปัตร

"สิงห์ผยอง" ของมาร์ติน โอนีล เริ่มมีอาการอ่อนล้าอย่างเห็นได้ชัดในระยะหลัง ผลงานเริ่มตกลงอย่างชัดเจนไม่ว่าจะเป็นในบอลลีกหรือบอลถ้วย

ขนาดยอมโยนถ้วยยูฟ่า คัพ ไปแล้วก็ยังไม่วายผลงานสะดุดจนโดนกันเนอร์ส เอาปืนมาจ่อคอยหอเพราะระยะห่างเวลานี้เหลือแค่ 3 แต้มเท่านั้น

ปัจจัยหนึ่งที่มีผลอย่างไม่ต้องสงสัยคือเรื่องของประสบการณ์ร่วมของสโมสรที่กำลังจะเป็น "ตัวแปร" สำคัญ ซึ่งเรื่องนี้เองที่อาร์เซนอล เหนือกว่า

แอสตัน วิลล่า แทบไม่เคยได้ลุ้นความสำเร็จใดๆเลยนับตั้งแต่สิ้นยุคทองที่เคยคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ ได้เมื่อปี 1982 ตรงข้ามกับอาร์เซนอล ที่เคยขึ้นแท่นเป็นทีมหมายเลขหนึ่งและมีโอกาสลุ้นแชมป์เกือบตลอดทุกปี จนกระทั่งเริ่มมาตกลงในช่วงที่สิ้นยุคของปาทริก วิเอร่า, เธียร์รี่ อองรี, โรแบร์ ปิแรส

อาร์แซน เวนเกอร์ ยึดมั่นในผู้เล่นอายุน้อยที่เปี่ยมด้วยพรสวรรค์ ยึดมั่นในอุดมการณ์ที่จะสร้างทีมในฝันที่เต็มไปด้วยเพชรเม็ดงามของวงการที่จะผ่านการเจียระไนมาพร้อมๆกัน เพื่อที่จะได้เติบโตพร้อมกันและผูกพันกับสโมสรไปตลอด เสมือนเป็นเด็กฝึกหัดของสโมสร

เซสก์ ฟาเบรกาส เป็นกรณีตัวอย่างที่ชัดเจนในเรื่องนี้

แต่ถึงจะเป็นทีมที่เต็มไปด้วยดาวรุ่ง ซึ่งอ่อนและเปราะบางไม่น้อย อาร์เซนอล ของเวนเกอร์ ก็ยังคงประคับประคองทำผลงานได้ดีมาโดยตลอด ยิ่งในฤดูกาลนี้แม้จะเจอช่วงวิกฤติมากมายจนบางช่วงแทบจะนอนแผ่ด้วยความหมดอาลัยตายอยาก

กันเนอร์ส พิสูจน์ให้เห็นอีกครั้งว่าพวกเขาตายยาก - ถึงยากมาก

ในเวลาที่วิลล่า เริ่มหายใจรวยริน อาร์เซนอล ก็เริ่มเร่งฝีเท้าขึ้นเพื่อจี้ติด กระชั้นชิด และมีปัจจัยบวกเข้ามาหนุนเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเกมรับที่เหนียวแน่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ขณะที่แนวรุกก็เริ่มมีสีสันกลับมา ไม่ว่าจะเป็นสีใหม่ที่จัดจ้านอย่างอาร์ชาวิน หรือสีที่ผูกพันแฟนๆคิดถึงอย่างเอดูอาร์โด้ ดา ซิลวา และธีโอ วัลค็อตต์

ปัญหา "ปืนฝืด" ไม่น่าจะเกิดขึ้นซ้ำอีกในช่วงที่เหลือของฤดูกาล เมื่อกลุ่มแนวรุกชุดนี้กลับมา ผสานกำลังกับชุดเดิมที่แบกรับหน้าที่มาตลอดไม่ว่าจะเป็นโรบิน ฟาน เพอร์ซี่ หรือนิคลาส เบนดท์เนอร์ และเอ็มมานูเอล อเดบายอร์

อย่าลืมว่าคนที่เก่งที่สุดและสำคัญที่สุดอย่าง เซสก์ ยังไม่ได้คืนสนามด้วยซ้ำ

แต่ถึงพูดแบบนี้มันแปลว่าอาร์เซนอล จะแซงเข้าวินง่ายๆหรือเปล่า?

ก็ไม่เชิง

คนที่จะตอบโจทย์เรื่องนี้คือมาร์ติน โอนีล และลูกทีมทีจะต้องพยายามเร่งทำผลงานให้ดีอีกครั้งให้ได้ โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่มีโปรแกรมหนักทั้งกับ แมนฯ ยูไนเต็ด และลิเวอร์พูล รออยู่ รวมถึงทีมระดับเดียวกันอย่างเอฟเวอร์ตัน

อย่างน้อยที่สุดก็ต้องประคับประคองตัวเองให้รอดช่วงนี้ไปก่อน โดยเสาหลักอย่างแกเร็ธ แบร์รี่ จะต้องคอยค้ำน้องๆในทีมให้ได้ทั้งหมด แล้วไปหวังเอาว่าคู่มหาประลัยอย่างแอชลี่ย์ ยัง และกาเบรียล อักบอนลาฮอร์ จะระลึกได้ว่าช่วงฟอร์มเทพนั้นพวกเขาเล่นกันได้น่ากลัวขนาดไหน

ถ้าประคองให้พ้นช่วงวิกฤตินี้ได้ โดยที่อาจจะโดนแซงหรือไม่ก็ตามแต่ระยะห่างไม่เกิน 4-5 แต้ม แอสตัน วิลล่า จะมีโอกาส เพราะตามโปรแกรมที่เหลือแล้ว อาร์เซนอล เจองานหนักไม่น้อยในช่วงโค้งสุดท้ายของฤดูกาล

โปรแกรมปะทะกับบิ๊กโฟร์ไม่ว่าจะเป็นลิเวอร์พูล (เยือน), เชลซี (เหย้า) และแมนฯ ยูไนเต็ด (เยือน) ในเกมรองสุดท้ายของฤดูกาลยังรออยู่

มันเป็นไปได้ที่อาร์เซนอล จะชนะรวดทุกนัดที่ว่า แต่ที่เป็นไปได้เช่นกันคือพวกเขาก็มีโอกาสทำแต้มหล่นทุกนัดที่ว่า

นั่นหมายถึง 1-9 แต้มที่อาจจะหายไป เป็นช่วงคะแนนที่เยอะและส่งผลต่ออันดับในฤดูกาลได้สบาย

คิดในแง่นี้จะพบว่าศึกอันดับ 4 คงต้องมองกันยาวๆมากกว่าจะพูดกันในระยะสั้น

12 นัดที่เหลือของฤดูกาล ยังมีอะไรเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ซึ่งหวังว่าเราคงจะได้ดูการต่อสู้กันที่สนุกระหว่างทีมหนึ่งที่พยายามจะฉีกบันทึกเดิมและเขียนประวัติศาสตร์ลงไปใหม่ในเรื่องของคำว่า "บิ๊กโฟร์"

กับอีกทีมที่อยู่ในสถานะนี้มานานจนเกิดการยึดติดและไม่อยากสูญเสีย

ขอขอบคุณ MSN ฟุตบอล

เรอัล และข้อห้าม 7 ประการสู่แชมป์


ตอนนี้ ลีกชั้นนำในยุโรปกำลังเข้มข้น เพราะมีการต่อสู้แย่งชิงแชมป์กันอย่างสูสี จ่าฝูงแต่ละลีกต่างพร้อมใจกันสะดุด ปล่อยให้ทีมอันดับสองไล่จี้เข้ามารดต้นคอ โดยเฉพาะลาลีกา สเปน


แรกเริ่มเดิมที เรอัล มาดริดมีคะแนนตามหลังบาร์เซโลน่า 12 คะแนนด้วยซ้ำ แต่นับจากที่บาร์ซ่าเก็บได้แค่ 1 คะแนนจากการลงเล่น 3 นัด พวกเขาก็เร่งสปีดตัวเองจนแต้มห่างเหลือแค่ 4 คะแนนเท่านั้น!

ชุดขาวภายใต้การคุมทีมของฆวนเด้ รามอส ชนะรวดในลาลีกามา 10 นัด พวกเขากำลังเดินหน้าด้วยความมั่นใจ ขณะที่บาร์ซ่าดูจะสะดุดยาว เพราะไม่ชนะในรายการใดมา 5 เกมรวด

ดังนั้นใครที่กาชื่อของชุดขาวออกจากสารบบการลุ้นแชมป์ลีกกระทิงไปตั้งแต่เนิ่นๆ คงรีบกลับตัวแทบไม่ทัน และใครที่เคยเชื่อว่า บาร์เซโลน่า คือยอดทีมไร้พ่ายก็ต้องเปลี่ยนความคิดเสียแล้ว

อย่างไรก็ดี หากทีมเลือดหมูน้ำเงินฟื้นตัวเร็ว พวกเขาก็ยังคงเป็นทีมที่น่ากลัวเช่นเดิม แต่สำหรับมหาอำนาจที่กระหายในความสำเร็จอย่างเรอัล มาดริด ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ แน่

โอกาสที่เรอัล มาดริด จะลุ้นแชมป์ลาลีกายังพอมี แต่พวกเขาต้องห้ามทำผิดกฎบัญญัติ 7 ข้อต่อไปนี้เท่านั้น!

1) ทำแต้มหล่นหายในดาร์บี้แมตช์
13 เกมที่เหลือของฤดูกาลนี้ เรอัล เริ่มต้นด้วยบิ๊กแมตช์อย่างเอล ดาร์บี้ ประจำเมืองหลวงกับแอตเลติโก มาดริด ในช่วงปีที่ผ่านๆ มาชุดขาวผูกปีชนะหมีได้ทั้งเหย้าและเยือน ดังนั้นพวกเขาควรจะเก็บ 3 แต้มให้ได้จากแมตช์นี้

แต่หนนี้อะไรๆ กลับไม่ง่ายดาย เพราะหมีตัวนี้กำลังมั่นใจสุดขีด หลังจากที่ฟอร์มกระเตื้องขึ้นมา โดยเฉพาะเกมล่าสุดที่พลิกขยี้บาร์เซโลน่า 4-3 เมื่อสัปดาห์ก่อน แถมเซร์คิโอ "กุน" อเกวโร่ และดิเอโก้ ฟอร์ลัน ก็กำลังแรงเสียด้วย ฆวนเด้ รามอส จึงต้องไปกวดขันลูกทีมให้ระวัง และอย่าทำแต้มหลุดหายในเกมนี้

2) สูญเสียดิยาร์ร่า
ใครจะเจ็บหรือเป็นอะไรไป ยังไม่เสียหายเท่าลาสซาน่า ดิยาร์ร่า กองกลางเฟร้นช์แมน ที่เพิ่งย้ายมาเมื่อมกราคมที่ผ่านมา นอกจากจะเป็นการเซ็นสัญญาที่ดีที่สุดของชุดขาวแล้ว เขายังเป็นทุกอย่างในแดนกลางของทีม

นอกจากจังหวะเปิดบอลแม่นยำแล้ว ลาสยังสร้างสมดุลทั้งเกมรับและรุกให้ชุดขาว ซี่งเป็นสิ่งที่มาฮามาดู ดิยาร์ร่า และรูเบน เด ลา เร้ด ไม่เคยเข้าใจ ตอนนี้ถือว่าลาสกลายเป็นจุดแข็งของทีม

เรอัล มาดริดชนะได้โดยไม่มี อาร์เยน ร็อบเบน แต่สิ่งที่พวกเขาต้องเลี่ยงคือช่วยภาวนาอย่าให้ลาสต้องเป็นอะไรไปเลย



3) ฟลอเรนติโน่
ต้องลดๆ การพูดถึง ฟลอเรนติโน่ เปเรซ ว่าที่ประธานคนใหม่ของชุดขาวที่จะมีการเลือกตั้งในซัมเมอร์นี้ รวมทั้งแผนการปฏิวัติซื้อซูเปอร์สตาร์ หรือเปลี่ยนโค้ชใหม่ เพราะนั่นจะยิ่งทำให้บั่นทอนกำลังใจของฆวนเด้ รามอส กุนซือที่กำลังทำผลงานยอดเยี่ยมอยู่

และยังอาจทำลายขวัญของนักเตะที่กำลังพยายามเต็มที่ และมีความมั่นใจ เพราะตราบใดที่ชื่อของพวกเขาติดอยู่ในกลุ่มที่จะโดนเปเรซโละ พวกเขาอาจหมดพลังเอาดื้อๆ ทางที่ดีมาช่วยกันเชิดชูความเจ๋งของพวกดีกว่า


4) ราฟา โรเทชั่น
แล้วนี่มันเกี่ยวอะไรด้วย แต่เป็นข้อเสนอแนะสำหรับฆวนเด้ รามอส กุนซือชุดขาวว่าถ้าอยากจะรักษาความต่อเนื่องในลาลีกา และอยากจะไปต่อในแชมเปี้ยนส์ลีก เขาก็ต้องไม่บ้าจี้หมุนเวียนผู้เล่นตามแบบราฟาเอล เบนิเตซ

ทางที่ดีคือยึด 11 ตัวจริงที่เขาไว้วางใจและทำผลงานที่ดีเยี่ยมในตอนนี้ ตัวหลักๆ ที่สามารถพักได้ก็คือ ราอูล, ฟาบิโอ คันนวาโร่ , กูตี, อาร์เยน ร็อบเบน และบางทีอาจรวมถึงกอนซาโล่ อิกัวอินด้วย

ขณะที่ผู้เล่นซึ่งหมดความมั่นใจ และไม่ได้ลงต่อเนื่องอย่าง ฮาเวียร์ ซาวิโอล่า, ฆาบี การ์เซีย, มิเชล ซัลกาโด้ รวมทั้งรอยสตัน เดรนเธ่ ไม่ควรถูกส่งลงเล่นเกมที่มีความสำคัญ หรือช่วงเวลาชี้เป็นชี้ตาย นอกเสียจากเลี่ยงไม่ได้

นอกจากนี้ฆวนเด้ต้องสั่งลูกทีมให้ลงเล่นทุกเกม เหมือนเป็นนัดชิงชนะเลิศ



5) แพ้เอล กลาซิโก
รามอสเริ่มงานคุมทีมในลาลีกานัดแรกด้วยการไปเยือนกัมป์นู แม้จะยันเสมอมาได้ 80 นาที แต่ช่วงท้ายเกมก็ล้าจนโดนเจาะ 2 ตุง ซึ่งทำให้ตอนนั้นทีมเลือดหมูน้ำเงินหนีห่าง 12 แต้ม

แต่ตอนนี้ไอ้ 12 แต้มนั้นหดลงเหลือแค่ 4 แล้ว มาดริดมีโอกาสจะพลิกผันสถานการณ์โดยมีข้อแม้ห้ามแพ้ในนัดนี้ เสมอได้เป็นอย่างน้อย

เพราะฉะนั้นเกมนี้ต้องเน้นให้มาก อย่าพยายามเสี่ยงเพราะแกนรุกของบาร์ซ่าตอนนี้ถือว่ามีประสิทธิภาพเหนือกว่า นอกจากจะต้องเอาให้อยู่แล้ว เรอัลก็ต้องฉวยทุกโอกาสที่มีให้ได้ด้วย


6) อุดแหลก
บางครั้งการนั่งดูเรอัล มาดริดของรามอสเล่น อาจสร้างความอึดอัดและไม่ถูกใจเนื่องจากเห็นพวกเขาอุด อุด แล้วก็อุด นับประสาอะไรกับแฟนๆ ของพวกเขาเองที่ยังโห่ใส่แข้งทีมรัก ที่มัวแต่ยืนเฝ้าหลังบ้านกันแน่น

อันที่จริงแนวรับคือหัวใจสำคัญเช่นกันของชัยชนะ แต่หากมีจุดที่ผิดพลาดแล้วคุณเสียประตูที่แสนเสียหาย เหมือนเกมชปล.รอบ 16 ทีมนัดแรกกับลิเวอร์พูล ก็คงคิดได้ว่าต้องกลับมาบุกบ้างแล้ว

ใครๆ ก็รักเรอัลที่เดินหน้าลุยด้วยความมั่นใจในเกมที่ถล่มเรอัล เบติส 6-1 แต่เกมล่าสุดที่เฉือนชนะเอสปันญ่อล พวกเขาก็ทำให้แฟนๆ ต้องเซ็งในครึ่งแรก ที่มัวแต่ระแวดระวังจนเกินเหตุ

ยังดีที่ครึ่งหลังกล้าที่จะเดินหน้ามากขึ้นเลยชนะไปได้ 2-0 เพราะฉะนั้นต่อให้แนวรับสำคัญแค่ไหน แต่ถ้าไม่คิดจะบุกเลย มันจะไปชนะได้ไง


7) ยึดมั่นในราอูล
ราอูลกลับมายิงประตูถล่มทลายเหมือนสมัยยังวัยละอ่อนในช่วงต้นปีจนทำลายสถิติดาวซัลโวของสโมสรได้ แต่เมื่อหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เพชฌฆาตหน้าหยกชักแผ่ว และหายไปจากเกมเสียแล้ว นั่นเพราะถูกใช้งานมากเกินไปในขณะที่วัยก็ล่วงเลยมามาก

ฆวนเด้ รามอส ต้องกล้าๆ ที่จะเปลี่ยนตัวเขาออก หรือปรับใช้กองหน้าคนอื่นๆ ที่มี ทั้งคลาส แยน ฮุนเตลาร์ และกอนซาโล่ อิกัวอิน หรือสามารถสอดตัวรุกดีๆ อย่างเวสลีย์ สไนจ์เดอร์ และราฟาเอล ฟาน เดอร์ ฟาร์ท ลงไปช่วยขับเคลื่อนแดนกลางแทนได้

แม้ไม่ควรมองข้ามศักยภาพของราอูล แต่ขอแค่กล้าๆ เปลี่ยนแปลงหรือถอดเขาบ้างหากเล่นไม่ออกจริงๆ ให้น้าแกได้พักบ้างเถอะ

ขอขอบคุณMSN ฟุตบอล

วันพุธที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2552

ฟุตบอลโฉมใหม่

ฟุตบอลเป็นกีฬาเก่าแก่มีประวัติยาวนาน หลายชาติอ้างประวัติศาสตร์ยุคโบราณว่า เป็นต้นกำเนิดของเกมลูกหนัง แต่ที่แน่ๆฟุตบอลสมัยใหม่ที่มีกฎกติกาชัดเจนมีจุดเริ่มต้นมาจาก “เมืองผู้ดี” อังกฤษ

ย้อนไปเมื่อปี ค.ศ. 1848 หรือ 161 ปีมาแล้ว มีกลุ่มคนบ้าบอลนัดประชุมกันที่ ร.ร.เอกชนแห่งหนึ่งในเมืองเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ

คนกลุ่มนี้ช่วยกันร่างกติกาฟุตบอลที่เป็นรากฐานของฟุตบอลในปัจจุบัน หลังจากการประชุมครั้งนั้น 15 ปี (ค.ศ. 1863) ก็มีการก่อตั้งสมาคมฟุตบอลอังกฤษ (เอฟเอ) มีกติกาใช้อย่างเป็นทางการ 14 ข้อ

เกมฟุตบอลค่อนข้างอนุรักษนิยม ไม่ค่อยมีการเปลี่ยนกฎไปจากเดิมมากนัก และเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา อาจเป็นวันที่ต้องจารึกในประวัติศาสตร์ลูกหนังอีกครั้งว่า มีการเปลี่ยนกติกาใหม่ในบางข้อ

คณะกรรมการบริหารสมาคมฟุตบอลนานาชาติ (International Football Association Board) ที่มีตัวย่อว่า IFAB จัดประชุมที่เบลฟาสต์ ในไอร์แลนด์เหนือ เพื่อหาข้อสรุปเรื่องกติกาใหม่ที่จะนำมาใช้

IFAB เป็นองค์กรเก่าแก่องค์กรหนึ่งของวงการฟุตบอล ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1886 สมาชิกประกอบด้วย สมาคมฟุตบอลจากสหราชอาณาจักร (อังกฤษ, สกอตแลนด์, เวลส์, ไอร์แลนด์เหนือ) และฟีฟ่า

สมาคมฟุตบอลสหราชอาณาจักรทั้ง 4 ชาติ มีสิทธิ์ออกเสียงชาติละ 1 เสียง ส่วนฟีฟ่าก็มี 4 เสียงเช่นกัน คัดตัวแทนมาจากชาติสมาชิกฟีฟ่า 204 ชาติ การเปลี่ยนแปลงกฎกติกาใดๆ จะต้องมีเสียงรับรอง 3 ใน 4

และเป็นที่น่ายินดีว่า ไทยเราก็มีตัวแทนไปนั่งประชุม มีสิทธิ์ออกเสียงในการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ ลูกหนังกับเขาด้วย

ตอนนี้ “บังยี” วรวีร์ มะกูดี นายกสมาคมฟุตบอลของไทย และกรรมการบริหารฟีฟ่าอยู่ที่เบลฟาสต์ ในฐานะตัวแทนจากฟีฟ่าที่เป็นบอร์ดของ IFAB

เรื่องที่จะนำมาพิจารณากันก็คือ การเพิ่มไลน์แมนเพื่อช่วยเป็นหูเป็นตาให้กรรมการบริเวณหลังประตู เพื่อดูเหตุการณ์ในกรอบเขตโทษว่า มีการทำฟาวล์หรือพุ่งล้มอย่างไรบ้าง รวมทั้งลูกปัญหาข้ามเส้นประตูไปหรือยัง

เซปป์ แบลตเตอร์ ประธานฟีฟ่า และมิเชล พลาตินี ประธานยูฟ่า เห็นดีเห็นงามกับกรณีนี้ โดยปฏิเสธการใช้วีดิโอมาช่วยตัดสิน เพราะจะทำให้เกมหยุดชะงัก ขาดความต่อเนื่อง

ยูฟ่าทดลองใช้ไลน์แมนเพิ่มเติมในทัวร์นาเมนต์ ระดับเยาวชน และเกมทีมชาติในสโลวีเนีย, ไซปรัส และฮังการี มาแล้ว และจะนำเสนอรายงานต่อที่ประชุมอีกครั้งเพื่อประกอบการพิจารณา

กติกาต่อมา “sin-bin” ที่ใช้กันอยู่ในกีฬารักบี้ นักเตะคนไหนได้ใบเหลือง จะต้องออกจากสนามไปนั่งพักตามระยะเวลาที่กำหนด ข้อนี้เสนอโดยสมาคมฟุตบอลไอริช (ไอร์แลนด์เหนือ)

สมาคมฟุตบอลสกอตแลนด์เสนอให้มีการเปลี่ยน ตัวเพิ่มจากเดิม 3 คน เป็น 4 คน ในกรณีที่มีการต่อเวลา

นอกจากนี้จะมีการหารือเรื่องเพิ่มเวลาพักครึ่งจากเดิม 15 นาที เป็น 20 นาที ด้วยเหตุผลให้นักเตะและกรรมการได้พักมากขึ้น แต่ก็มีเสียงวิจารณ์ว่า แรงจูงใจน่าจะมาจากการเพิ่มเวลาโฆษณาในการถ่ายทอดสดมากกว่า

และประการสุดท้าย กฎล้ำหน้า หลังจากมีปัญหาที่ยูโร 2008 ในเกมระหว่างฮอลแลนด์ กับอิตาลี ซึ่งนัดนั้นอัศวินสีส้มชนะ 3-0

รุด ฟาน นิสเตลรอย ยิงประตูแรกให้ฮอลแลนด์ ในตำแหน่งล้ำหน้า ขณะที่คริสเตียน ปานุชชี กองหลังตัวสุดท้ายของอิตาลียืนอยู่นอกสนาม (เส้นหลัง) แต่ผู้ ตัดสินปีเตอร์ ฟรอดเฟลด์ท เป่าให้ดัตช์ได้ประตู

ช่วงแรกกรรมการถูกตำหนิอย่างหนักว่าตัดสินผิดพลาด แต่ภายหลังได้รับการยอมรับว่า ตัดสินถูกต้องแล้ว สิ่งที่ IFAB จะเพิ่มเติมเข้าก็คือ คำอธิบายที่ชัดเจนขึ้นในกติกาเพื่อขจัดความสงสัยให้หมดไป

คำอธิบายกติกาเพิ่มเติมก็คือ ผู้เล่นฝ่ายรับที่ออกนอกสนามด้วยเหตุผลใดก็ตามโดยไม่ได้รับอนุญาตจากกรรมการ ให้ถือว่า ยืนอยู่บนเส้นหลังหรือเส้นข้าง ในกรณีที่มีการพิจารณาลูกล้ำหน้า หรืออีกนัยหนึ่ง ยังมีส่วนร่วมกับเกมนั่นเอง

IFAB หยิบยกกติกาใหม่มาหารือกันเมื่อ 28 ก.พ. ส่วนจะได้ข้อสรุปอย่างไร ติดตามจากรายงานข่าวต่อไปนะครับ.

ขอขอบคุณหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

หงส์หมดลุ้นเพราะราฟา


เกมพรีเมียร์ลีกเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา สร้างความยินดีปรีดา และความผิดหวังให้กองเชียร์ แต่ละทีมคละเคล้ากันไป

โดยเฉพาะแฟนแมนฯยู ได้เฮชนิดที่ทีมตัวเองไม่มีคิวลงแข่งด้วยซ้ำหลังจาก “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล พลาดท่าปราชัยต่อมิดเดิลสโบรช์ 0-2

ขณะที่อาร์เซนอล กระสุนด้านเจ๊าเป็นนัดที่ 5 ติดต่อกันในลีก และเป็นการเสมอด้วยสกอร์ 0-0 สี่นัดรวด

ส่วนเชลซีเริ่มคงเส้นคงวามากขึ้นตั้งแต่กุส ฮิดดิงค์ เข้ามาคุมทีม ชนะทั้ง 3 นัดในพรีเมียร์ลีกและแชมเปียนส์ลีก

แฟนเชลซีเริ่มกลับมามีความหวังอีกครั้ง แม้ จะไม่กล้าหวังถึงแชมป์ แต่ผลการแข่งขันที่ปรากฏช่วยสร้างความมั่นใจได้ไม่น้อย


เชลซีอาจจะชนฉิวเฉียดแค่ลูกเดียว (วิลลา 1-0, ยูเวนตุส 1-0 และวีแกน 2-1) แต่แสดงให้เห็นถึงคืนวันเก่าๆที่มีลูกฮึด รักษาสกอร์ที่ขึ้นนำไว้ได้ ฟอร์มอาจจะไม่แจ่มนัก แต่สุดท้ายก็คว้าชัยได้ตามต้องการ


เครียดที่สุดเป็นของกองเชียร์อาร์เซนอล อาร์แซน เวงเกอร์ ยอมรับหลังจากเสมอฟูแลมในบ้านตัวเอง 0-0 ว่า กลัวปิ๋วโควตาแชมเปียนส์ลีก


แอสตัน วิลลา เตะกับสโต๊ก ในวันอาทิตย์ ถ้าเก็บ 3 แต้มได้ก็จะฉีกหนีปืนใหญ่ 8 แต้มทันที


ห่วงหน้ายังไม่พอ อาร์เซนอลยังต้องพะวงหลังกับการไล่จี้ของ “ทอฟฟี่” เอฟเวอร์ตัน ที่ตามมาเหลือห่าง 2 แต้มอีกด้วย


เวงเกอร์คงต้องยอมรับเสียทีว่า ทีมของเขายังไม่ดีพอ เด็กเกินไป กระดูกยังอ่อน ที่ภูมิใจว่า เป็นทีมสร้างเด็กที่โดดเด่นที่สุดในยุโรปนั้น จะมีความหมายอะไรหากผลงานในสนามย่ำแย่

เวงเกอร์มั่นใจว่า รอเวลาให้ดาวรุ่งเหล่านี้เล่นด้วยกัน 3-4 ปี จะสุดยอดขึ้นตามวัยประสบการณ์ ก็ต้องถามกองเชียร์ว่า รอไหวหรือไม่


เสียงโห่หลังจบเกมที่เสมอกับทีมรองบ่อนอย่างซันเดอร์แลนด์และฟูแลมใน 2 นัดล่าสุดเป็นคำตอบได้เป็นอย่างดี

ส่วนลิเวอร์พูลมีเรื่องให้พูดถึงมากกว่าใคร หลังจากมีเหตุการณ์พลิกผันวันต่อวันมาตลอดสัปดาห์

ก่อนเตะกับเรอัล มาดริด มีข่าวว่า ราฟาเอล เบนิเตซ อยู่ไม่ยืดแน่ แต่เมื่อเขานำทีมบุกไปชนะราชันชุดขาว สามารถสยบข่าวลือนั้นได้ทันที

วันต่อมา ริค แพร์รี ซีอีโอหงส์แดงซึ่งเป็นแฟนบอลตัวยงของสโมสร ประกาศลาออกเมื่อจบซีซั่น หลังจากทำงานกับลิเวอร์พูลมา 12 ปี

แม้ราฟาจะปฏิเสธว่า เขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการบีบให้แพร์รีลงจากตำแหน่ง แต่ผู้คนในวงการรับรู้กันมาตลอดว่า ทั้งคู่ทำงานไม่เข้าขากัน

เมื่อแพร์รียอมเป็นฝ่ายถอย เชื่อว่า สัญญาฉบับใหม่ของราฟาน่าจะจบง่ายกว่าเดิม

แต่แล้วกุนซือชาวสเปนก็ทำให้แฟนบอลข้องใจในความสามารถของเขาอีกครั้ง แน่นอนว่า เกมยุโรปราฟาไม่เป็นรองใคร ทำผลงานใน พรีเมียร์ลีกน่าผิดหวังเมื่อใด แชมเปียนส์ลีกช่วยให้เขารอดตัวมาตลอด

ชนะมาดริดมาไม่ทันไร กลับมาในลีกแพ้โบโร่ ทำแต้มหล่นหายอีกแล้ว การจัดตัววางตำแหน่งผู้เล่นขัดใจผู้ชมอย่างยิ่ง

จะอ้างว่า ล้ามาจากแชมเปียนส์ลีกก็ไม่สมเหตุ สมผล เพราะโบโร่ก็เพิ่งเตะเอฟเอคัพกลางสัปดาห์มาเหมือนกัน

ทำไมนักเตะลิเวอร์พูลถึงหน่อมแน้ม ดูอ่อนแอกว่าคู่แข่ง เป็นเพราะราฟาคิดไปเองหรือเปล่า จะส่งทีมที่ดีที่สุดก็ต่อเมื่อเป็นบิ๊กแมตช์จริงๆเท่านั้น

เจอร์ราร์ดไม่สมบูรณ์ ตอร์เรสยังเจ็บอยู่พอเข้าใจได้ แต่คนที่กำลังฟอร์มสดอย่างยอสซี เบนายูน กลับไม่ได้เล่นตั้งแต่ต้นเกม มาร์ติน สเคอร์เทล ถูกจับมาเล่นแบ็กขวาผิดธรรมชาติ ถูกสจ๊วร์ต ดาวนิง เจาะสบายๆ

สไตล์การทำทีมแบบกลัวเกินเหตุของเขามีส่วนสำคัญที่ทำให้ความหวังในการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ ลีกดับวูบลงไป

แฟนหงส์เหนื่อยใจกับผู้จัดการทีม แต่ ได้ยินมาเยอะนะครับว่า แฟนแมนฯยูปลื้มราฟามาก อยากให้ต่อสัญญาอยู่กับลิเวอร์พูลไปยาวๆยิ่งดี.

ขอขอบคุณหนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ

วันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

กัลเลียนี่ยันอ๊อดโด้-เนสต้ายังอยู่มิลาน


อาเดรียโน่ กัลเลียนี่ รองประธานเอซี มิลาน ออกมายืนยันว่า ทีมจะดึง มัสซิโม่ อ๊อดโด้ วิงแบ๊กทีมชาติอิตาลีกลับมาจากบาเยิร์น มิวนิค พร้อมรับประกัน อเลสซานโดร เนสต้า กองหลังสุดหล่อที่เพิ่งผ่าหลังอีกรอบจะกลับมาลงเล่นได้แน่นอน

มิลานมีความจำเป็นต้องเสริมหลัง เพราะแบ๊กหลายรายเจ็บบ่อย และใกล้ปลดระวาง โดยเฉพาะเปาโล มัลดินี่ ที่จะแขวนสตั๊ดหลังจบซีซั่นนี้ ทำให้ทีมปีศาจแดงดำวางแผนที่จะดึง อ๊อดโด้ กลับมาร่วมทีม หลังปล่อยให้บาเยิร์น มิวนิค ยืมใช้งานในซีซั่นนี้

ขณะที่เนสต้านั้นเข้ารับการผ่าตัดหลังเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา หลังจากต้องพักรักษาตัวมาเกือบตลอดทั้งซีซั่น ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าเจ้าตัวน่าจะต้องแขวนสตั๊ดก่อนเวลาอันควร

อย่างไรก็ดี กัลเลียนี่ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า "แพทย์บอกผมว่าเนสต้าจะกลับมาได้ จากนั้นเราต้องตัดสินใจว่าจะเก็บฟิลิปป์ เซนเดอรอสไว้ต่อหรือไม่ และต้องคุยกับบาเยิร์น มิวนิคเรื่องมัสซิโม่ อ๊อดโด้"

ขอขอบคุณ MSN ฟุตบอล

ดูดู้...กระสุนที่หายไป (นาน)


สำหรับคนที่ห่างหายจากการลงสนามไปนานนับปี การได้กลับมาลงเล่นท่ามกลางหมู่กองเชียร์อีกครั้งและทำได้ 2 ประตูในเกมนั้น มันแทบจะเหมือนการกลับมาในฝันเลยก็เป็นได้

เป็นฝันดีที่รอคอย หลังจากฝันร้ายมาเกือบ 365 วัน

ย้อนหลังกลับไปเมื่อวันที่ 23 ก.พ. ปีที่แล้ว ตอนนั้น เอดูอาร์โด้ ดา ซิลวา กำลังผลิตผลงานสุดร้อนแรงให้กับอาร์เซนอล ที่กำลังนำเป็นจ่าฝูงอยู่แบบโดดๆทำให้แฟนกันเนอร์ส มีความหวังว่าปีนี้อาจจะเป็นปีที่ยังกันส์ของเวนเกอร์ โตพอที่จะก้าวไปกระชากแชมป์คืนมาเสียทีหลังห่างหายความสำเร็จไปหลายปี

แต่เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นในเกมกับเบอร์มิงแฮม เมื่อเอดูอาร์โด้ ดา ซิลวา หรือ "ดูดู้" ได้บอลที่นอกกรอบเขตโทษและกำลังจะพลิกบอลหลบ

ไม่มีใครคิดหรอกว่านาทีนั้น ปลายสตั๊ดของมาร์ติน เทย์เลอร์ กองหลังแข้งโหดกัปตันทีมเดอะ บลูส์ จะโผล่พรวดมา "วาง" บนหน้าแข้งของดูดู้ ทันที

ด้วยองศาที่ทำมุมระนาบได้พอดีกับจังหวะเวลา หน้าแข้งของกองหน้าชาวบราซิลที่ตัดสินใจเลือกเล่นให้ทีมชาติโครเอเชียคนนี้หักสะบั้นเป็นสองท่อนทันที ซ้ำข้อเท้ายังเคลื่อนหลุดจากตำแหน่งด้วย แค่พูดแค่นี้ก็คงพอนึกภาพออกว่ามันเป็นอาการบาดเจ็บที่น่าสยดสยองแค่ไหน

ความรุนแรงของเหตุการณ์ถึงขั้นที่สถานีโทรทัศน์สกายสปอร์ตส ตัดสินใจแช่ภาพนิ่งมุมกว้างไว้ ไม่มีการรีเพลย์ให้เห็นเหตุการณ์ ก่อนที่รายการแมตช์ ออฟ เดอะ เดย์ 2 จะนำภาพเหตุการณ์มาออกอาการในภายหลัง ทำให้คนที่ได้ดูจิตใจห่อเหี่ยวกันไม่น้อย

เคราะห์ดีบนเคราะห์ร้ายที่วันนั้นในสนามอาร์เซนอล มีจิลแบร์โต้ ซิลวา กองกลางชาวบราซิลอยู่ ซึ่งได้กลายเป็นคนเดียวที่พูดสื่อสารภาษาโปรตุเกสกับดูดู้ ที่โอดครวญบนพื้นสนาม ทำให้แพทย์ประจำทีมสามารถที่จะปฐมพยาบาลเบื้องต้นได้ถูกต้อง

แรกทีเดียวไม่มีใครคิดถึงเรื่องที่ดูดู้ จะกลับมาลงสนามได้อีกครั้ง เอาแค่ขอให้กลับมาเดินเหินได้อย่างปลอดภัยก็พอ ขณะที่อาร์แซน เวนเกอร์ นายใหญ่กันเนอร์ส ฉุนขาดถึงขั้นเรียกร้องให้แบนมาร์ติน เทย์เลอร์ ไปตลอดชีวิต (ก่อนที่จะถอนคำพูดในเวลาต่อมา)

เทย์เลอร์ เองได้ขอโทษและไปเยี่ยม ดูดู้ ถึงที่โรงพยาบาล แต่โชคร้ายที่เวลานั้นกองหน้าโครเอเชียจำอะไรไม่ได้เลยอันเป็นผลช็อกจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ที่เล่ามาข้างต้นคือภาพของเหตุสยองขวัญ ที่นำไปสู่ความตกต่ำดำดิ่งของอาร์เซนอล ชนิดที่ยากจะหาคำตอบได้ว่ามันเป็นเพราะเรื่องนี้หรือเปล่า กับการขาดกองหน้าคนเดียวในทีมที่มีสัญชาติญาณของการเป็นศูนย์หน้าอยู่เต็มกาย

รูปร่างอาจจะไม่ใหญ่โตเหมือนเอ็มมานูเอล อเดบายอร์ และไม่ได้มีความเร็วปานจรวดเหมือนธีโอ วัลค็อตต์ แต่เซนส์บอลของดูดู้ เหนือกว่าสองคนนี้มาก การเคลื่อนที่ การทำทาง ความเฉียบขาดเลือดเย็นในจังหวะสังหาร ถ้าจะให้เปรียบก็ต้องบอกว่าเหมือนร็อบบี้ ฟาวเลอร์ สมัยหนุ่มๆไม่มีผิด

อาร์เซนอล เสียศูนย์ไปหลังจากขาดดูดู้ อย่าว่าแต่โอกาสลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกเลย แค่เกาะท็อปโฟร์ก็แทบรากเลือดแล้ว

แต่ถึงยังไงอาร์เซนอล ก็ต้องขอบคุณพระเจ้าที่หมอยังสามารถรักษาดูดู้ จนสามารถกลับมาลงสนามได้อีกครั้ง แม้ว่าจะต้องใช้เวลารักษากันนานเป็นปี และใช้เวลากว่า 3 เดือนในการเรียกสิ่งต่างๆกลับมา ไม่ว่าจะเป็นกล้ามเนื้อ พลัง หรือความเฉียบขาด

มีนักเตะไม่น้อยที่บาดเจ็บขาหักแล้วถึงจะกลับมาได้ก็แทบจะเสียคนไปเลย ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือ ฌิบริล ซิสเซ่ อดีตดาวซัลโวลีกเอิง ที่โชคร้ายขาหัก 2 ครั้งในรอบไม่กี่ปี จนเวลานี้กลายเป็นกองหน้าเกรดบีธรรมดาๆคนหนึ่ง

สำหรับดูดู้ ยังดีที่ดูเหมือนว่าขาหักไม่ได้ทำให้เขาเกิดความขยาด หรือเสีย "สัมผัส" หรือ "เซนส์" ที่ไม่ใช่นักฟุตบอลทุกคนจะมีเหมือนกัน

การกลับมาของดูดู้ ครั้งนี้แค่นัดแรกเราก็พอจะมองเห็นแล้วว่า เขาคือคนที่อาร์เซนอล ต้องการมากกว่าใครในยามนี้ เพราะปัญหาการจบสกอร์คือจุดสลบสำหรับทีมของเวนเกอร์ ในฤดูกาลนี้อย่างชัดเจน

ไม่ว่าจะเป็นอเดบายอร์ หรือเบนดท์เนอร์ ก็ไม่มีใครฝากผีฝากไข้ได้ซักคน จะมีก็แค่โรบิน ฟาน เพอร์วี่ ที่ทำผลงานได้ดีสม่ำเสมอในฤดูกาลนี้ แต่ก็เป็นภาระที่หนักเกินไปสำหรับนักเตะจอมศิลปินซักคน

ที่ผ่านมาในยุครุ่งเรือง อาร์เซนอล ของเวนเกอร์ มักจะลุยใส่คู่แข่งตั้งแต่ต้นและสามารถยิงประตูขึ้นนำก่อนได้เร็วทำให้เล่นได้ง่ายขึ้น แต่มาระยะหลังนี่เองที่มีปัญหาเรื่องของการจบสกอร์ที่ขาดทั้งความเฉียบขาด และบางครั้งการปลูกฝังให้ลูกทีมเล่นอย่างสวยงามก็ทำให้ทีมจบสกอร์ได้ยาก กว่าจะได้แต่ละลูกต้องบุกจนแทบหมดไอเดีย

ยิ่งวันไหนสมองตันเจาะไม่เข้าอย่างเก่งก็เสมอ หรือไม่ก็พาลถึงแพ้ก็ยังมี

ดังนั้นการได้ตัวจบสกอร์ระดับนี้คืนสู่ทีม น่าจะช่วยเติมความเข้มข้นในแนวรุกของกันเนอร์สได้ไม่น้อย

อย่างน้อยๆกระสุนที่เคยยิงสาดเสียเทเสีย ทิ้งขว้างไปหมดก็น่าจะแม่นยำขึ้นถ้าโอกาสหล่นมาถึงดูดู้ ที่ไม่ใช่เฉพาะจะยิงคมแต่ยังทำทางให้เพื่อนได้ดีอีกด้วย

แต่ยังไงเราก็ต้องดูกันยาวๆว่าการกลับมาครั้งนี้จะเป็นแค่ พลุไฟ ที่จุดแวบเดียวให้ดีใจเล่นแล้วหายไปหรือเปล่า?

ถ้าไม่ใช่ - และรวมกับการกลับมาของเซสก์ ฟาเบรกาส ที่หายเร็วเกินคาดน่าจะกลับมาได้อย่างช้าสุดต้นเดือนหน้า

อาร์เซนอล ยังพอมีความหวังที่จะกลับมาเบียดยึดตำแหน่งในท็อปโฟร์ได้อยู่เหมือนกันในฤดูกาลนี้

ขอขอบคุณ MSN ฟุตบอล

วันจันทร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

มหากาพย์ปลดแอก 'รัสปูตินลูกหนัง' อังเดร อาร์ชาวิน


ต้องบอกว่ากว่าจะมาถึงบทสรุปที่หลายคนรอร๊อรอมานานเหลือเกิน มันก็เป็นเรื่องน่าเบื่อที่จะติดตามแล้วสำหรับเส้นทางการย้ายหนีนรกของอังเดร อาร์ชาวิน จากทีมเซนิต เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก ที่สุดท้ายก็มาจบที่ทีม "ปืนใหญ่" อาร์เซนอล จนได้

แต่ก็ต้องบอกว่าลุ้นระทึกกันจนถึงหยดสุดท้ายเลยจริงๆ!

"ดีล" ระดับที่ต้องเอาเข้าทำเนียบการเจรจาที่ยืดเยื้อ ยากเย็น และลำบากลำบนที่สุดในโลกนี้ ความจริงแล้วโดยเนื้อแท้แล้วมันคือความพยายามในการที่จะ "หนี" ออกจาก "นรก" ของกองกลางพรสวรรค์สูงชาวรัสเซียคนนี้

เพราะแม้จะมีสถานะเป็นดัง "ฮีโร่" ของชาวเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก แต่ความสำเร็จมากมายที่ถาโถมเข้ามาอย่างรวดเร็วในระยะเวลาแค่ 2-3 ปีมันทำให้อาร์ชาวิน คิดและเชื่อมั่นว่า เซนิต ไม่ใช่ที่สำหรับเขาอีกต่อไป

ความสำเร็จระดับการทำให้เซนิต เป็นแชมป์ลีกรัสเซีย ยังไม่โดดเด่นเท่าผลงานในการพาเซนิต ทะลวงฟันทุกทีมเข้าไปคว้าแชมป์ยูฟ่า คัพ มาได้อย่างยิ่งใหญ่ในฤดูกาลที่แล้ว

พ่อมดขาวแห่งแดนไซบีเรีย รัสปูตินน้อยแห่งเซนิต หรือจะเรียกอะไรก็ตาม แต่ผลงานของเขามันช่างมหัศจรรย์ยิ่งนัก

แต่เวทีที่ทำให้ชื่อของอาร์ชาวิน กลายเป็นชื่อที่มีแต่คนพูดถึงก็คือยูโร 2008 ที่เขาสามารถร่ายมนต์พาทีมชาติรัสเซีย ผงาดเข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศได้แบบเหลือเชื่อ

ยิ่งในเกมที่สามารถถล่มฮอลแลนด์ ทีมเต็งแชมป์ที่เล่นได้สุดยอดในรอบแรก มันทำให้ชื่อของอาร์ชาวิน "หอมตลบ" ไปหมด

หลังจากนั้นเองที่กองกลางวัย 27 ปีประกาศอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ต้องการที่จะอยู่กับเซนิต อีกต่อไป

เวทียุโรปตะวันออกมันเล็กไปแล้วสำหรับเขา ชื่อเสียง เกียรติยศ ความมั่งคั่งที่ฝั่งยุโรปตะวันออกต่างหากที่เขาต้องการ

นาทีนั้นใครก็เชื่อว่าอาร์ชาวิน จะต้องย้ายทีมแน่และก็ต้องไม่ใช่การย้ายทีมธรรมดา เพราะแม้แต่เจ้าตัวเองก็ประกาศว่าทีมต่อไปที่เขาจะอยู่ด้วยก็ต้องเป็นทีมระดับ "น้องเต้ย" เท่านั้น!

ว่าแล้วอาร์ชาวิน ก็หลุดชื่อทีมที่ชอบมาว่าคงจะเป็นระดับ บาร์เซโลน่า, เรอัล มาดริด, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หรือเชลซี อะไรทำนองนั้น

โดยเฉพาะบาร์ซ่า ที่เป็นทีมในฝันของจริงสำหรับอาร์ชาวิน

แต่เอาเข้าจริง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะท่าทางของอาร์ชาวิน มันน่าหมั่นไส้ไปหรือเปล่า ความต้องการมันสูงเกินไปมั้ย ทำให้การเจรจาที่ไม่ควรจะมีปัญหาอะไรเลยเพราะมันก็เป็นสูตรปกติธรรมดาอยู่แล้วที่เซนิต จะต้องเปิดทางให้ซูเปอร์สตาร์ของชาติไปได้ดีในต่างแดน

การเจรจามันมีปัญหามาโดยตลอด เพราะเอาแค่ด่านแรก เซนิต ก็ทำเอาหลายทีมหันหลังกลับแทบไม่ทัน

ด่านแรกที่ว่าก็คือเรื่องค่าตัวที่สูงลิบ ซึ่งหลายสโมสรไม่คิดว่าการซื้อผู้เล่นจากยุโรปตะวันออกจะต้องจ่ายแพงขนาดนั้น และไม่คิดว่านักเตะอย่างอาร์ชาวิน จะมีค่ามากขนาดนั้น เพราะอายุอานามก็ไม่ใช่น้อยแล้ว ไม่ใช่ดาวรุ่งวัย 20 ต้นๆที่ยังพอจะมีช่องทางขายถอนทุนคืนได้หากไม่ประสบความสำเร็จในอนาคต

อีกปัจจัยคือหลายทีมต่างก็มีซูเปอร์สตาร์ของตัวเองอยู่แล้ว จึงไม่คิดว่าจะต้องจำเป็นซื้ออาร์ชาวิน ที่อาจจะซ้ำซ้อนตำแหน่งและบทบาทของคนอื่นอีก เช่น บาร์ซ่า ก็มีเมสซี่ หรือเรอัล มาดริด ตอนนั้นก็เทใจให้คริสเตียโน่ โรนัลโด้ มากกว่า

ไปๆมาๆอาร์ชาวิน ก็เลยกลายเป็นของที่ทุกคนมองข้าม ไม่มีใครคิดที่จะซื้อตัวไปร่วมทีมอย่างจริงจัง เรื่องนี้ทำเอาความมั่นใจของอาร์ชาวิน ค่อยๆลดลงไปเรื่อยๆจนแทบไม่เหลือ

การดิ้นรนเพื่อหนีเซนิต ให้ได้จึงเกิดขึ้น เวลานั้น อาร์ชาวิน ไม่สนอะไรแล้วนอกจากการออกจากที่นี่ให้ได้

ต่อให้เป็นทีมระดับกลางอย่าง สเปอร์ส ที่ติดต่อเข้ามาก็ไม่เกี่ยง ทั้งที่ในทีแรกบอกไปว่าไม่สนใจทีมระดับนี้หรอก ถ้าจะย้ายไปลอนดอนก็ต้องเป็นเชลซี หรืออาร์เซนอล

แต่พอมันเข้าตาจนก็บอกว่า คุยกับฆวนเด้ รามอส (กุนซือในเวลานั้น) แล้วก็เข้าท่าดีเหมือนกัน!!!

อย่างไรก็ดี ฝันร้ายของอาร์ชาวิน ก็เริ่มตอนนั้นเพราะสุดท้ายแล้วสเปอร์ส ก็ถอดใจไม่ขอสู้ค่าตัวที่ทางเซนิต เรียกร้อง ซึ่งส่วนหนึ่งเชื่อกันว่าเป็นเพราะความเขี้ยวระดับเสือเขี้ยวดาบเรียกพี่ของเซนิต ที่จะดีลกับใครก็ขอเป็น "เงินสด" เท่านั้นไม่มีผ่อน ทำให้หลายทีมขยาด

ที่เซนิต กล้าเล่นตัวได้ขนาดนั้นเป็นเพราะความจริงแล้วนี่เป็นสโมสรที่มีความมั่งคั่งในระดับที่ไม่แพ้ยักษ์ใหญ่ของยุโรปเลย เนื่องจากได้บริษัทน้ำมันระดับชาติเข้ามาสนับสนุนทำให้ฐานะทางการเงินของเซนิต จึงดีกว่าหลายทีมในยุโรปตะวันออก

อาร์ชาวิน เองก็ได้รับค่าเหนื่อยมหาศาลที่เซนิตด้วย (ซึ่งต่อมาก็เกือบเป็นปัญหาให้ไม่ได้ย้ายทีมอีก) มากในระดับเดียวกับซูเปอร์สตาร์ของหลายสโมสรยักษ์ใหญ่เลย

ในแง่นึงก็ไม่แน่ใจกันนักว่าเซนิต จะดีใจหรือเสียใจที่ขายอาร์ชาวิน ไม่ได้เพราะไปทุ่มเงินซื้อเพลย์เมคเกอร์ในสไตล์ใกล้เคียงกันอย่าง แดนนี่ มาแล้วกะให้เป็นตัวตายตัวแทน แต่ก็นั่นแหละในเมื่อยังขายไม่ได้ก็ใช้งานให้เต็มที่ต่อไป ความซวยเลยตกอยู่ที่ดิ๊ก อัตโวคาท เทรนเนอร์ที่ต้องจัดระบบให้ลงตัวสำหรับศิลปินลูกหนังทั้งสองคน

ส่วนอาร์ชาวิน ฝันสลายอกหักอย่างจังแต่ก็กัดฟันบอกว่าไม่เป็นไร ไม่ได้ย้ายทีมรอบนี้ก็ขอทุ่มเทในการเล่นให้กับเซนิต ต่อไปเหมือนเดิม เพราะความจริงแล้วเขาก็เติบโตมาจากสโมสรนี้และไม่เคยย้ายออกไปไหนเลยด้วยซ้ำ

แต่พอถึงใกล้เวลาที่ตลาดการซื้อขายรอบเดือน ม.ค. จะเปิดตัวอีกครั้ง ก็มีเสียงดังมาจากอาร์ชาวิน และตัวแทนคือเดนนิส ลัคเตอร์ อยู่บ่อยๆ

เสียงมันกร้าวแข็งถึงขั้นประกาศว่า "จะไม่อยู่กับเซนิตอีกต่อไป"

คราวนี้เหมือนว่าทุกอย่างน่าจะเป็นไปด้วยดี เพราะทางเซนิต ก็ค่อยๆออกมายอมรับว่ายินดีที่จะเปิดทางให้ และก็มีทีมใหญ่ในระดับที่อาร์ชาวิน น่าจะพอใจติดต่อมาแล้วก็คืออาร์เซนอล

แต่ไอ้ที่เหมือนจะง่ายเอาเข้าจริงมันก็ไม่ง่ายเลย เพราะเซนิต เองก็พิสูจน์เรื่องความเขี้ยวเรียกพ่ออยู่แล้วในฐานะคนขาย

เรื่องมันมาโช๊ะเด๊ะกันตรงที่กันเนอร์ส เองก็เป็นทีมที่เขี้ยวตัวแม่เหมือนกันในฐานะคนซื้อ เพราะอาร์แซน เวนเกอร์ เป็นโค้ชที่เข้มงวดในเรื่องนี้มาก มีปรัชญาเอาไว้เลยว่านักฟุตบอลทุกคนย่อมมีค่าตัวที่แท้จริงของตัวเอง

ถ้าไม่ได้ค่าตัวที่เหมาะสมก็ยอมจะไม่จ่ายเลยดีกว่า ใช้ผู้เล่นชุดเดิมไป

ตลอดเดือน ม.ค. ที่ผ่านมามันก็เลยเป็นศึกระหว่างเขี้ยวเจอเขี้ยวที่งัดกันจนเหงือกบานทั้งสองฝ่าย (ถ้ารวมอาร์ชาวินด้วยก็ 3 ฝ่าย) และเป็นการเจรจาต่อรองที่ใช้เล่ห์เหลี่ยมชิงไหวชิงพริบกันมากที่สุด

ทางเซนิต ใช้กลยุทธ์รุกทางสื่อโดยพยายามปล่อยข่าวก่อนตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการบอกว่าอาร์เซนอลสนใจ ติดต่อมาแล้ว กำลังเจรจา หรือแม้กระทั่งเคยบอกว่าตกลงขายไปแล้วด้วยซ้ำ

แต่พอไปถามเวนเกอร์ บอกว่ายังไม่เห็นจะตกลงกันได้ซะหน่อย อย่าไปสนใจเลยเรื่องนี้?

ทางอาร์ชาวิน ก็ร้อนใจที่การย้ายทีมไม่เกิดขึ้นซักทีจนเริ่มมีการใช้กำลังภายในเหมือนกัน มีขู่ว่าจะใช้กฏเวบสเตอร์ที่สามารถซื้อสัญญาของตัวเองได้หากเซนิต ยังคิดว่าเป็นทาสไม่ยอมปล่อยให้เป็นไท

มีถึงขั้นไปขอเคลียร์กับเซนิต ว่าจะจ่ายเงินค่าเปิดประตูทางออกสโมสรให้ 3 ล้านปอนด์ แล้วจะไปเคลียร์เงินก้อนนี้กับกันเนอร์สในภายหลังด้วย แต่ก็มีข่าวว่ามีปัญหาเรื่องค่าเหนื่อยเหมือนกันเพราะอาร์เซนอล มีเพดานอยู่แค่ 60,000 ปอนด์ ซึ่งน้อยกว่าที่ได้จากเซนิตอีกและต้องการจะขอเรียกที่ 80,000 ปอนด์แทน

การชิงไหวชิงพริบมันมีจนถึงวันสุดท้ายของตลาดการซื้อขายรอบเดือน ม.ค. (ที่ปีนี้ยืดให้เป็นพิเศษถึง 2 ก.พ. เพราะติดเสาร์อาทิตย์พอดี) โดยทางเซนิต พยายามปล่อยข่าวว่าการเจรจาล้มลงไปแล้ว แต่ตัวอาร์าชาวิน ก็เดินทางมาที่ลอนดอนเพื่อรอที่จะทำการตรวจร่างกาย หลังจากที่คุยเรื่องสัญญาส่วนตัวกับอาร์เซนอล จบ

จากนั้นเมื่อการตรวจร่างกายเป็นไปอย่างเรียบร้อย แต่ก็ยังไม่มีสัญญาณจากฝ่ายไหนซักทีว่าการเจรจาเรียบร้อยแล้ว

แม้กระทั่งถึงเวลาเส้นตายของการย้ายทีมอะไรมันก็ยังไม่ชัดเจนเลย!

ข่าวกระแสนึงบอกว่า ถึงอาร์ชาวิน จะมาลอนดอนแล้วก็ตามแต่เซนิต ออกแถลงว่าการเจรจายุติแล้วเพราะสโมสรไม่สามารถตกลงค่าตัวกันได้

จุดที่เป็นปัญหาว่ากันว่าเป็นเงินค่าเซ็นสัญญาก้อนใหญ่ที่เซนิต ต้องการได้เงินตรงนี้ด้วยทำให้พยายามดึงเรื่องให้ถึงที่สุด

แต่อีกกระแสมีข่าวว่า เวนเกอร์ เชื่อว่าการเจรจายุติลงด้วยดีและพร้อมจะเผย "ข่าวดี" ให้ฟังในเร็วๆนี้

ทว่าแฟนๆกันเนอร์สและสื่อมวลชนก็ต้องรอจนถึงอีกวันคือวันอังคารกว่าที่จะมีการยืนยันว่าทุกอย่างเรียบร้อย และอาร์ชาวิน ก็จะย้ายมาอยู่กับทีมอาร์เซนอลแน่นอน

เป็นอันว่าความพยายามนานหลายเดือนของอาร์ชาวิน ก็ประสบความสำเร็จจนได้ มหากาพย์การย้ายทีมของอาร์ชาวิน ก็จบลงด้วยดี

อย่างน้อยพ่อมดลูกหนังรัสเซียก็ไม่ต้องนอนฝันร้าย ไม่ต้องหลอนกับเพลง "กักขังฉันเถิดกักขังไป.......ขังตัวอย่าขังหัวใจดีกว่า"

ส่วนอนาคตข้างหน้าในทีมกันเนอร์สจะเป็นอย่างไร อาร์ชาวิน จะเล่นตำแหน่งไหน จะรุ่งมั้ย ก็ไว้ค่อยว่ากันวันหลัง (แค่เรื่องย้ายทีมก็ยาวจนอ่านไม่หมดแล้ว!)

ยังไงก็ดีใจกับแฟนๆอาร์เซนอลด้วยแล้วกันที่ได้ตัวจุดประกายที่สำคัญมาที่น่าจะพยุงทีมในฤดูกาลที่อ่อนแอนี้ได้



รู้อ๊ะเปล่า.....

1. อังเดร เซอร์เกเยวิช อาร์ชาวิน เกิดที่เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก หรือที่ปัจจุบันเรียกว่า เลนินการ์ด เมื่อ 29 พ.ค. 1981

2. ตอนเป็นนักเรียน อาร์ชาวิน เคยอยากเป็นนักหมากรุกมาก่อนจะอยากเล่นฟุตบอลอีก ...... โชคดีของแฟนบอลแท้ๆ!

3. พอมาเรียนมหาวิทยาลัย ก็เขียนวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เครื่องแต่งกายกีฬา แต่ไม่ยอมรับว่าเป็นการไปเรียนเพื่อจีบสาว

4. ตอนเด็กๆหมอนี่ชอบบาร์ซ่า ยุคกุนซือเทวดา โยฮัน ครัฟฟ์มาก ทำให้เคยหลุดว่าการย้ายไปคัมป์ นู คือความฝันเลย

5. อาร์ชาวิน ลงเล่นให้เซนิต ครั้งแรกในการเป็นตัวสำรองในเกมกับแบร๊ดฟอร์ด ในรายการอินเตอร์ โตโต้ คัพ ปี 2000

6. อาร์ชาวิน ยิงไป 71 ประตูใน 310 เกมให้เซนิต พาทีมคว้าแชมป์ลีกรัสเซียในปี 2007 ลีก คัพ 2003 แล้วก็ยูฟ่า คัพ, ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ (ที่ชนะแมนฯ ยูไนเต็ดไง) แล้วก็รัสเซียน ซูเปอร์ คัพ ในปีนี้ส่วนทีมชาติรัสเซียเล่นไป 41 นัดยิงไป 15 ประตู ไม่เลวเลยทีเดียว

7. เรื่องรางวัลส่วนตัวก็กวาดมาเยอะ ปีนี้ก็ได้อันดับ 6 ในรางวัลบัลลงดอร์ด้วย

8. อาร์ชาวิน เคยได้เป็นตัวแทนลงสมัครในการเลือกตั้งท้องถิ่นในเซนิต ให้กับพรรคของอดีตประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน แต่ก็ถอนตัวก่อน

9. คอลัมนิสต์ในเมืองเลนินการ์ด ตราหน้าอาร์ชาวินว่าเป็น "คนทรยศ" ที่อยากจะหนีจากประเทศแล้วประณามว่าเป็นพวกขายตัวเพื่อแลกกับเงินทองให้ยุโรปตะวันออก

10. อาร์ชาวิน อาจจะออกจากเซนิตไปแล้ว แต่เขายังอยู่ในหน้าปฏิทินของสโมสรในหน้าเดือน เม.ย. อยู่..........
ขอขอบคุณ MSN ฟุตบอล

วันอาทิตย์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ยูเว่เดินหน้า ยื่นซื้อซิลบาแล้ว


ยูเวนตุส เดินหน้ายื่นข้อเสนอซื้อ ดาบิด ซิลบา ปีกตัวเก่งของบาเลนเซียแล้วในราคา 30 ล้านยูโร หรือราว 1,350 ล้านบาท หลังมีรายงานว่าส่งบอร์ดมาดูฟอร์มเมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา
มีรายงานว่าอเลสซิโอ เซคโค่ ผอ.กีฬาของยูเวนตุสซึ่งคุมการซื้อขายนักเตะของทัพเบียงโค่เนรี่ บินไปเซบีย่า เพื่อดูเกมอุ่นเครื่องที่สเปนชนะอังกฤษ 2-0 เมื่อวันพุธที่ผ่านมา โดยมีเป้าหมายที่ซิลบา ปีกตัวกลั่นของทัพกระทิงดุันั่นเอง
ล่าสุด ราดิโอ บาเลนเซีย-กาเดน่า สถานีวิทยุในสเปนรายงานว่า ทีมม้าลายได้ติดต่อมายัง โฆเซ่ บิเซนเต้ เซกี บอร์ดของบาเลนเซียแล้ว เพื่อยื่นข้อเสนอซื้อตัวซิลบาในราคา 30 ล้านยูโร หรือราว 1,350 ล้านบาท ดังที่ไอ้ค้างคาวเรียกร้อง
โดยทีมม้าลายจะจ่ายเงินสด 25 ล้านยูโรให้ก่อน ส่วนอีก5 ล้านยูโรนั้น ขึ้นอยู่กับจำนวนนัดที่ลงสนาม และความสำเร็จ
นอกจากนี้ ยอดทีมแห่งตูีรินยังพร้อมจะเสนอเซ็นสัญญา 5 ปี และให้ค่าเหนื่อยฤดูกาลละ 4.5 ล้านยูโร หรือราว 200 ล้านบาท
ขอขอบคุณ MSN ฟุตบอล

วันจันทร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

Top 10 การเซ็นสัญญาสุดแพงแห่งอิตาลี

ก่อนที่ตลาดซื้อขายนักเตะประจำหน้าหนาวจะรูดม่านปิดฉาก ลีกเลี่ยนเค้าจัดอันดับการเซ็นสัญญาที่สร้างกระแสความฮือฮา และใช้เงินสูงที่สุดเท่าที่เคยมีในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอิตาลี

โชคดีที่กาก้า เพลย์เมกเกอร์แซมบ้าของเอซี มิลาน ไม่ได้ตอบรับข้อเสนอของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ทุ่มเงินซื้อเขา 100 ล้านปอนด์ หรือร่วม 5,000 ล้านบาท ไม่งั้นเราคงต้องใส่เขาเพิ่มไปทั้งที่ไม่อยากใส่
ด้วยเหตุนี้ ซีเนอดีน ซีดาน จึงยังกลายเป็นเบอร์หนึ่งของทำเนียบการซื้อขายที่ค่าตัวมหาศาลที่สุดในอิตาลี และของโลกลูกหนัง รอวันจะมีดาวเตะหน้าใหม่ทำลายสถิติเท่านั้น
10.รุย คอสต้าจาก ฟิออเรนติน่า ไปยัง มิลาน (27 ล้านปอนด์, 2001)เพลย์เมกเกอร์โปรตุกีสไม่ต้องการย้ายทีม และร้องไห้เมื่อรู้ว่าฟิออเรนติน่าจับมือตกลงขายเขาให้มิลานไปแล้ว รุยเป็นหลักให้มิลานสักพักก็โดนกาก้า ที่ย้ายมาสู่รังปีศาจแดงดำในปี 2003 แย่งตำแหน่งตัวจริงไป
9. ฮวน เซบาสเตียน เวรอนจาก ลาซิโอ ไปยัง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด(28.1 ล้านปอนด์, 2001)หลังจากใช้เวลา 5 ปี สร้างชื่อในอิตาลี กับซามพ์โดเรีย, ปาร์ม่า และลาซิโอ เขาก็ลองย้ายไปหาประสบการณ์ใหม่ๆ ในพรีเมียร์ลีกอังกฤษ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ จนเชลซีมาขอซื้อตัวไปร่วมทัพในปี 2003 ทำให้รวมๆ แล้วค่าตัวของเวรอนในการย้ายทีมทั้งหมดรวมกันสูงถึง 77 ล้านปอนด์เลยทีเดียว
8. โรนัลโด้จาก อินเตอร์ ไปยัง เรอัล มาดริด (28.5 ล้านปอนด์, 2002)อินเตอร์ได้แต่พยาบาลดูแลอาการบาดเจ็บโรนัลโด้ พอหายเขาก็ไปเล่นฟุตบอลโลก 2002 และระเบิดฟอร์มพาทีมชาติบราซิลคว้าแชมป์เวิลด์คัพได้ และเจ้าเหยินใหญ่ก็ตอบแทนอินเตอร์ที่ฟูมฟักเขามาตลอด ด้วยการย้ายไปเซ็นสัญญากับเรอัล มาดริด
7. กาอิซกา เมนดิเอต้าจาก บาเลนเซีย ไปยัง ลาซิโอ (29 ล้านปอนด์, 2001)อยู่ๆ เมนดี้ก็กลายเป็นมิดฟิลด์ที่เนื้อหอมที่สุดในยุโรป เมื่อแจ้งเกิดกับบาเลนเซีย แต่ชีวิตค้าแข้งที่กำลังเจิดจรัสก็เหมือนพลุที่ส่องสว่างแล้วก็มอดไหม้ไป เพราะนับตั้งแต่ย้ายมาลาซิโอ เขาก็ไม่อาจงัดฟอร์มเก่งออกมาได้ และลงเล่นให้ลาซิโอแค่ 20 นัดเท่านั้น
6. พาเวล เนดเวดจาก ลาซิโอ ไปยัง ยูเวนตุส (30.6 ล้านปอนด์, 2001)ยูเวนตุสเอาเงินที่ขายซีเนอดีน ซีดาน ไปให้เรอัล มาดริดเป็นจำนวนมหาศาล มาทุ่มซื้อพาเวล เนดเวด ปีกเลือดเชกของลาซิโอ และเป็นการตัดสินใจที่ไม่ผิดพลาดเลย เพราะเนดเวดโชว์ฟอร์มยอดเยี่ยม จนคว้าบัลลงดอร์ในปี 2003 และเขาก็แสดงความจงรักภักดีด้วยการอยู่โยงกับยูเว่แม้ทีมจะตกชั้นไปเล่นในเซเรีย บีจากคดีล้มบอลในปี 2006
5. อังเดร เชฟเชนโก้จาก มิลาน ไปยัง เชลซี(30.8 ล้านปอนด์, 2006)นับเป็นการย้ายที่ยืนยันว่าอิตาลีไม่ใช่จอมทุ่มอีกต่อไป และสโมสรที่มีทุนหนากลายเป็นทีมจากอังกฤษที่พร้อมทุ่มเงินมหาศาลดึงสตาร์ดังไปร่วมทัพ อย่างกรณีนี้ที่เชลซี ทุ่ม 30 ล้านปอนด์ ซื้อเชว่าไปจากมิลาน แต่การผจญภัยในลอนดอนคือฝันร้ายของหัวหอกชาวยูเครนผู้ีนี้ เพราะล้มเหลวสุดๆ และต้องบากหน้าย้ายกลับทีมปีศาจแดงดำเมื่อปีก่อน
4. คริสเตียน วิเอรี่ จาก ลาซิโอ ไปยัง อินเตอร์ (32 ล้านปอนด์, 1999)ในฐานะที่เคยเป็นดาวยิงแถวหน้าของอิตาลี อินเตอร์จึงเคยทุ่มเงินมหาศาลซื้อตัวโบโบ้ไปจากลาซิโอ และเป็นโชคร้ายของเขาที่ไปจากทีมอินทรีฟ้าขาวก่อนที่สโมสรจะก้าวสู่แชมป์อิตาลีในปีต่อมา โบโบ้อยู่กับอินเตอร์นานกว่าสโมสรใดที่เคยค้าแข้งมา นั่นคือ 6 ฤดูกาลด้วยกัน แต่แม้จะยิง 103 ประตูให้อินเตอร์ เขาก็ไม่เคยร่วมคว้าสคูเด๊ตโต้กับทีมงูใหญ่เลย
3. จานลุยจิ บุฟฟ่อนจาก ปาร์่ม่า ไปยัง ยูเวนตุส (32.6 ล้านปอนด์, 2001)เป็นปีที่ยูเว่เดินหน้าเสริมทัพยิ่งใหญ่ เพราะมีเงินเหลือเฟือจากการขายซีดาน พวกเขาดึงเอานายทวารที่ดีทีุ่สุดในอิตาลียามนั้นมาจากปาร์ม่าด้วยสนนราคาที่ถูกมองว่าแพงเกินไปสำหรับนายทวารสักคน แต่จิจี้ บุฟฟ่อน แสดงให้เห็นแล้วว่าคุ้มค่าเม็ดเงินทุกบาททุกสตางค์
2. เฮอร์นัน เครสโป จากปาร์ม่า ไปยัง ลาซิโอ (35.5 ล้านปอนด์, 2000)ผลงานการยิง 61 ประตู จากการลงสนาม 116 นัดให้ปาร์ม่า ทำให้เครสโปเป็นที่หมายปองของหลายทีม ก่อนจะถูกลาซิโอ ทุ่มเงินทำสถิติโลกในยามนั้นซื้อตัวมาเสริมทัพ เพื่อหวังยกระดับทีมให้ยิ่งใหญ่มากขึ้นกว่าเดิม หลังคว้าสคูเด๊ตโต้มาหมาดๆ แต่ทุกอย่างกลับไม่เวิร์ก
1. ซีเนอดีน ซีดานจาก ยูเวนตุส ไปยัง เรอัล มาดริด(46 ล้านปอนด์, 2001)ซีดานสร้างสถิติเป็นนักเตะค่าตัวสูงสุดของโลกมายาวนาน จากการอำลายูเว่ ย้ายไปยังเรอัล มาดริด ในยุคกาลัคติกอส ที่มีแต่สุดยอดแข้งไปรวมตัวกัน และซิซูก็ประสบความสำเร็จคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกได้ทันทีในปีแรกที่สวมใส่ชุดขาว


ขอขอบคุณ MSN ฟุตบอล

วันเสาร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

เบ๊คส์ใกล้ซบมิลานถาวรเต็มแก่


เดวิด เบ๊คแฮม กองกลางทีมชาติอังกฤษซึ่งย้ายจากแอลเอ แกแล็กซี่มาอยู่กับเอซี มิลานด้วยสัญญายืมตัว3 เดือน กำลังจะสมหวังได้ซบทีมปีศาจแดงดำถาวร หลังมีรายงานว่าตกลงค่าตอบแทนกันได้ เหลือแค่หาข้อสรุปกับแกแล็กซี่ให้ได้เท่านั้น

กองกลางจอมปั่นฟรีคิกของลอสแอนเจลิส แกแล็กซี่ ย้ายมาเล่นในถิ่น ซาน ซิโร่ ด้วยสัญญายืมตัวจนถึงวันจันทร์ที่ 9 มี.ค.นี้ แต่ด้วยฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยม ทำให้ทาง มิลาน พยายามที่จะรั้งตัวนักเตะเอาไว้ เช่นเดียวกับเบ๊คแฮมที่ยอมรับเองว่าเขาก็ต้องการอยู่ในถิ่นซาน ซิโร่ต่อ แม้จะต้องลดค่าเหนื่อยก็ตาม
กัซเซ็ตต้า เดลโล่ สปอร์ต สื่อเลี่ยนรายงานว่า มิลานตกลงจ่ายค่าเหนื่อยเบ๊คส์ปีละ4 ล้านปอนด์ หรือราว 200 ล้านบาท โดยเบ๊คส์จะรับรายได้จากลิขสิทธิ์ภาพลักษณ์ของตัวเองทั้งหมดไม่ต้องแบ่งให้ต้นสังกัด นอกจากนี้ทีมปีศาจแดงดำยังเตรียมจ่ายค่าตัวของเขาในราคา 4.5 ล้านปอนด์หรือราว 225 ล้านบาทด้วย
หนุ่มเบ๊คส์กล่าวว่า "ตอนนี้มิลานสำคัญกว่าเงิน ผมอยากคิดเรื่องฟุตบอลและอนาคตค้าแข้งก่อน มันสำคัญมากหากผมได้อยู่มิลานถาวร เพื่อรักษาโอกาสในการลงเล่นต่อเนื่องและเพื่อโอกาสในการติดทีมชาติอังกฤษไปเล่นฟุตบอลโลก 2010"
"ผมยังไม่ได้คุยกับแกแล็กซี่ แต่มีกลุ่มคนที่กำลังทำหน้าที่นี้แทนผมอยู่ ผมหวังว่าจะมีการตกลงกันได้โดยเร็ว" กองกลางเท้าชั่งทองกล่าว


ข้อมูลจาก : MSN ฟุตบอล

พลาตินี่จวกดีลกาก้าบ้าที่สุด


"นโปเลียนลูกหนัง" มิเชล พลาตินี่ ประธานยูฟ่า โจมตีความพยายามของทีม " เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่อยากจะได้ตัวริคาร์โด้ กาก้า จนยอมทุ่มเงิน 100 ล้านปอนด์ ว่าเป็นเรื่องบ้าที่สุด

แม้ว่าเรื่องนี้จะจบลงไปแล้ว แต่ว่าทางด้านพลาตินี่ ในฐานะคนที่ต่อต้านระบบทุน นิยมในเกมฟุตบอลก็โจมตีต่อเรื่องความพยายามที่จะปั่นค่าตัวของนักฟุตบอลเพียงคนเดียวให้ ถึง 100 ล้านปอนด์ว่าเป็นเรื่องที่เกินเลยจากความจริงไปมาก
"การที่คนคนเดียวจะมีค่าตัวถึง 150 ล้านยูโร มันเป็นเรื่องที่เพี้ยนมากสำหรับ สังคม ฟุตบอล และในเรื่องของการเงิน"
"นั่นคือเหตุผลที่เราจะต้องทำอะไรให้มันโปร่งใสและยุติธรรมในเกมฟุตบอล มันไม่ ใช่สิ่งที่ดีเลยต่อประชากรฟุตบอล"
"แมนฯ ซิตี้ สามารถจะดึงเด็กๆ ในเมืองแมนเชสเตอร์ เข้ามาสู่อคาเดมี่ และทำให้พวกเขากลายเป็นเหมือนกาก้าได้"
"พวกเขาไม่จำเป็นต้องจ่ายเงิน 150 ล้านยูโรด้วย เพราะพวกเขาจะได้นักเตะ แบบนี้ในอคาเดมี่ของตัวเอง"

ข้อมูลจาก : MSN ฟุตบอล

Top Ten แข้งกัลโช่ผู้ซื่อสัตย์


หาได้ยากเย็นยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขาแล้วในยุคสมัยนี้ ที่นักเตะซักคนจะเลือกจงรักภักดีต่อสโมสรใดสโมสรหนึ่งไปนานเท่านาน โดยไม่ไขว้เขวไปกับเม็ดเงินมหาศาลที่ทีมอื่นล่อใจให้

ยิ่งในลีกชั้นนำของยุโรป ยิ่งแทบจะนับนิ้วด้วยมือเดียวได้ โดยเฉพาะซูเปอร์สตาร์ดังทั้งหลายมักจะชีพจรลงเท้าเป็นว่าเล่น เพราะในยุคปัจจุบันนี้ มีเรื่องของธุรกิจและผลตอบแทนมาเกี่ยวข้อง
แข้งที่กินอุดมการณ์ขออยู่ขอตายไปกับสโมสรที่ตัวเองรักและผูกพันมีน้อยนิด แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มี ที่อิตาลีเค้าจัดอันดับนักเตะที่ซื่อสัตย์จงรักภักดีที่อยู่กับสโมสรใดสโมสรหนึ่งเป็นเวลายาวนาน ด้วยจำนวนปีที่ขึ้นเลข 2 หลัก
น่าเสียดาย บางคนไม่มีลมหายใจแล้ว แต่หลายคนยังคงเวียนว่ายในวงการลูกหนังในฐานะต่างๆ กัน ตั้งแต่บอร์ดบริหารยันเทรนเนอร์
และน่ายินดีเหลือเกิน ที่ยังมีนักเตะซึ่งปัจจุบันยังค้าแข้งอยู่ติดโผมาด้วยตั้ง 3 คน ทั้งฟรานเชสโก้ ต๊อตติ, อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่ และเปาโล มัลดินี่
เพื่อยืนยันว่าในโลกลูกหนังที่กำลังเปลี่ยนไป ก็ยังมีผู้เล่นที่คู่ควรได้รับการยกย่องจากความจงรักภักดีต่อต้นสังกัดอย่างไม่มีเงื่อนไขเช่นกัน
10. โรแบร์โต้ มันชินี่ (ซามพ์โดเรีย)ก่อนจะผันตัวมาเป็นกุนซือคนดัง (ที่ตกงาน) อย่างในตอนนี้ โรแบร์โต้ มันชินี่ เคยใช้เวลาถึง 15 ปีค้าแข้งกับซามพ์โดเรีย สโมสรซึ่งเขาร่วมคว้าสคูเด๊ตโต้แห่งประวัติศาสตร์ในปี 1991 มันโช่ยังเป็นดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของยอดทีมแห่งเจนัว ถึงตอนนี้ทุกคนตั้งตารอคอยที่จะได้เห็นเขากลับมาลา ซามพ์ในฐานะกุนซือบ้าง
9. จานคาร์โล อันโตโยนี่ (ฟิออเรนติน่า)แม้ฟิออเรนติน่าจะเคยมียอดดาวยิงระดับโลกอย่าง กาเบรียล บาติสตูต้า และโรแบร์โต้ บาจโจ้มาแล้ว แต่ก็ยังไม่ใกล้เคียงกับสิ่งที่อันโตโยนี่ทำเพื่อทีมวิโอล่า เขาเป็นนักเตะที่ลงเล่นให้ทีมม่วงมหากาฬมากที่สุด แม้จะแขวนสตั๊ดไปตั้งแต่ปี 1989 แต่ปัจจุบันเขาก็ยังเป็นขวัญใจตลอดกาลของสาวกฟิอออเรนติน่า
8. ฟรังโก้ บาเรซี่ (มิลาน) สุดยอดปราการหลังตลอดกาลของโลกลูกหนังผู้นี้ รับใช้มิลานและประสบความสำเร็จมาตลอด 20 ปี ทำให้ทีมปีศาจแดงดำต้องรีไทร์เสื้อหมายเลข 6 ให้เขาเพื่อเป็นเกียรติ ความสุดยอดของเขายังถูกการันตีด้วยรางวัล "นักเตะอิตาลียอดเยี่ยมแห่งศตวรรษนี้"
7. จามปิเอโร่ โบนิแปร์ติ (ยูเวนตุส) มีเพียงสโมสรเดียวเท่านั้นที่โบนิแตร์ติรัก และอยู่ในใจไปตลอดชีวิต นั่นคือยูเวนตุส เพราะนับตั้งแต่เริ่มต้นค้าแข้งในปี 1946 เขาก็ไม่เคยหนีไปที่อื่นอีกเลยจนกระทั่งเลิกเล่นในปี 1961 โบนิแปร์ติลงเล่นให้ทัพเบียงโค่เนรี่ 444 นัด และประสบความสำเร็จมากมากนับไม่ถ้วน ปัจจุบันนี้เขาดำรงตำแหน่งประธานกิตติมศักดิ์ของทีมม้าลาย
6. จิจี้ ริว่า (กายารี่) ริว่าทำสิ่งที่ซูเปอร์สตาร์ยอดดาวเตะทั้งหลายไม่มีใครทำ นั่นคือการจงรักภักดีค้าแข้งกับทีมเล็กๆ อย่างกายารี่ 14ปีเต็ม แม้ว่าจะมีหลายสโมสรยักษ์ใหญ่รุมจีบมาตลอด และเขาก็ไม่เคยเสียใจสักนิดที่ใช้เวลาตลอดชีวิตค้าแข้งอยู่บนเกาะซาร์เดนญ่า และคว้าแชมป์เซเรีย อาแค่สมัยเดียวเท่านั้น
5. จาชินโต้ ฟัคเค็ตติ (อินเตอร์) แม้จูเซ็ปเป้ แบร์โกมี่ และฮาเวียร์ ซาเน็ตติ จะเป็นกัปตันที่ยอดเยี่ยมของอินเตอร์ แต่จาชินโต้ ฟัคเค็ตติ คือที่สุดของที่สุด ฟูลแบ๊กมาดนิ่มที่เด็ดขาดเหลือเกินยามอยู่ในสนามเป็นตัวหลักของทีมเนรัซซูรี่ยุคยิ่งใหญ่ภายใต้การคุมทีมของเอเลนิโอ เอร์เรร่า ก่อนจะกลายเป็นประธานสโมสรอินเตอร์ และเสียชีวิตเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาท่ามกลางความโศกเศร้าของทั้งวงการ
4. ฟรานเชสโก้ ต๊อตติ (โรม่า) ฟรานเชสโก้ ต๊อตติ ยังคงเป็นกัปตันผู้ยิ่งใหญ่ของโรม่าในปัจจุบัน และแน่นอนว่าเขาเป็นประวัติศาสตร์ของทีมหมาป่ากรุงโรมไปแล้วหลังพาทีมคว้าสคูเด๊ตโต้มาครองในปี 2001 ต๊อตติเกิดและเติบโตที่เมืองหลวงแห่งนี้ ที่แขนของเขาสักเป็นรูปนักรบแกลดิเอเตอร์ สัญลักษณ์นักสู้แห่งโรมัน สมกับที่เป็นผู้นำพาทัพจัลโล่รอสซี่ประสบความสำเร็จในยุคนี้อย่างแท้จริง
3. อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่ (ยูเวนตุส)ปินตูีริคคิโอคือสมญาของเดล ปิเอโร่ ในฐานะที่เป็นศิลปินลูกหนังที่ฝากผลงานสุดมหัศจรรย์กับยูเวนตุสมาตลอด 15 ปีที่ผ่านมา ดาวยิงหมายเลข 10 ลงเล่นรับใช้ทีมม้าลายเกินหลักไมล์ 500 นัดไปแล้ว แน่นอนว่าเขายังดำรงตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุดของสโมสรอย่างไม่ต้องสงสัย ความจงรักภักดีของหนูเดลเป็นที่ยอมรับและยกย่อง เพราะยืนหยัดช่วยทีมแม้ในวันที่โดนปรับตกชั้นไปเล่นในเซเรีย บี
2. วาเลนติโน่ มัซโซล่า (โตริโน่)วาเลนติโน่ มัซโซล่า คือกัปตันโตริโน่ ชุดที่ยิ่งใหญ่และดีที่สุดเท่าที่ทีมกระทิงหินเคยมี ซึ่งทุกคนรู้จักกันในนาม "อิล กรันเด โตริโน่" หลังประกาศศักดาคว้าแชมป์เซเรีย อา ได้ถึง 5 สมัย วาเล่ได้รับยกย่องเป็น 1 ในนักเตะที่ดีที่สุดในยุคสมัยของเขา แต่น่าเสียดายเหลือเกิน เขาเสียชีวิตพร้อมเพื่อนร่วมทีมชุดประวัติศาสตร์นั้นในเหตุเครื่องบินชนภูเขาที่ซูแปร์ก้า
1. เปาโล มัลดินี่ (มิลาน) กัปตันคนปัจจุบันของเอซี มิลาน ที่แม้วัยจะล่วงเลย 40 ปีแล้ว เขาก็ยังคงยืนหยัดรับใช้ทีมปีศาจแดงดำ สโมสรแรกและสโมสรเดียวในชีวิตค้าแข้งของเขาอยู่ถึงแม้จะต้องต่อสู้อาการบาดเจ็บที่รุมเร้าตลอดหลายปีที่ผ่านมา มัลดินี่พาทีมคว้าแชมป์มาแล้วแทบทุกรายการ เฉพาะเซเรีย อาก็มากถึง 7 สมัย และแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกอีก 5 สมัย มัลดินี่เป็นสุภาพบุรุษทั้งในและนอกสนาม เป็นแบบอย่างของนักเตะยุคใหม่อย่างแท้จริง

ข้อมูลจาก : MSN ฟุตบอล

เกียรติยศ หรือเงินตรา ?


เกือบจะพลิกประวัติศาสตร์วงการลูกหนังโลกไปในทุกๆ ทาง พร้อมๆ กับถูกตราหน้าเป็นนักเตะหิวเงิน แต่กาก้า เพลย์เมกเกอร์สุดหล่อของเอซี มิลาน ก็ลบคำสบประมาท และความหวาดหวั่นต่างๆ ไปได้ ด้วยการบอกปฏิเสธข้อเสนอมหาศาลของแมนเชสเตอร์ ซิตี้

ย้อนกลับไปที่ข่าวครึกโครมในรอบหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อทีมเรือใบสีฟ้า ออกอาละวาดในตลาดซื้อขายหน้าหนาว ด้วยการยื่นข้อเสนอซื้อ กาก้า ในราคาเป็นสถิติโลกถึง 107 ล้านปอนด์ หรือราว 5,400 ล้านบาท
คราวนี้ไม่ใช่แค่ข่าวลือ หรือเรื่องโคมลอยเหมือนที่เคยเป็นมา เพราะซิตี้เดินหน้าเอาจริง และที่น่าตกใจก็คือ ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ ประธานสโมสรเอซี มิลาน ออกมายอมรับเป็นครั้งแรกว่าเขาพร้อมจะขายดาวเตะคนเก่งออกไป
เท่านั้นไม่พอ ยังมีข่าววงในระบุชัดเจนว่า อาเดรียโน่ กัลเลียนี่ รองประธานเป็นคนจัดการนั่งเจรจากับตัวแทนของเรือใบสีฟ้า และตอบรับข้อเสนอของพวกเขาไปแล้วด้วย
เรื่องทั้งหมดจึงตกเป็นหน้าที่ของกาก้าที่จะตัดสินใจ ซึ่งเชื่อกันว่าจะเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าวงการลูกหนัง
เพราะค่าตัวของเขาจะกลายเป็นตัวเลขที่มากที่สุดเท่าที่เคยมีมา และแสดงให้เห็นว่านักเตะในยุคนี้ มองเกมลูกหนังเป็นแค่ผลประโยชน์ด้านตัวเงิน มากกว่าจะสนใจความสำเร็จ หรือความผูกพันจงรักภักดีกับสโมสรใดสโมสรหนึ่ง
เรียกว่า ใครให้เงินมากกว่า ก็ย้ายไปที่นั่น ต่อไปซูเปอร์สตาร์ทั้งหลายอาจจะไปกองกันอยู่ที่ทีมใดทีมหนึ่งที่มีเงินเยอะกว่า ไม่ต้องสนใจเรื่องอื่น
และในกรณีนี้ สุดยอดนักเตะคนหนึ่งแห่งยุค กำลังจะย้ายจากทีมที่ดีที่สุดทีมหนึ่งในยุโรป ไปยังสโมสรซึ่งเล็กกว่า
และเป้าหมายในตอนนี้ยังแค่หนีตกชั้น แม้จะมีโปรเจ็คท์ใหญ่ที่จะก้าวไกลประสบความสำเร็จได้ในอนาคตก็ตามที
สปอตไลท์ทุกดวงพุ่งเป้ามาที่กาก้า และรอการตัดสินใจของเขา สื่อในอิตาลีรายงานช็อตต่อช็อตไม่ว่าจะขยับตัวทำอะไร พวกเขาเห็นแม้กระทั่งว่ากาก้า ร้องไห้ขณะเดินออกมาจากห้องแต่งตัวเอซี มิลาน
สื่อเอาไปขยายความกันอย่างสนุกว่า ร้องเพราะอำลาเพื่อนๆ ร่วมทีม หรือร้องเพราะโดนทุกคนกดดันว่าอย่าย้ายกันแน่
อย่างไรก็ตาม ก่อนจะถูกตราหน้าว่าเป็นนักเตะหิวกระหายเงิน กาก้าก็ทำตามใจหัวใจต้องการ นั่นคือปฏิเสธไม่ย้ายไปแมนเชสเตอร์ ซิตี้ โดยเขาบอกว่าสาเหตุสำคัญที่ทำให้ตัดสินใจเช่นนี้คือ สาวกปีศาจแดงดำ
กาก้าได้ลงเล่นในเกมที่มิลานชนะฟิออเรนติน่า 1-0 เมื่อวันเสาร์ที่แล้ว เกมซึ่งหลายคนคาดการณ์ว่าจะเป็นแมตช์สุดท้ายในสีเสื้อรอสโซ่เนรี่
แต่สิ่งที่เหนือจากรูปเกมและผลการแข่งขันก็คือ แฟนมิลานไปรวมตัวกันประท้วงทั้งก่อนและหลังเกมไม่ให้สโมสรขายกาก้า บางคนบอกว่าถ้าอาเดรียโน่ กัลเลียนี่ อยากขายกาก้า ก็ให้เขาย้ายไปเอง
ในสังเวียน ซาน ซิโร่เต็มไปด้วยป้ายผ้า ที่แฟนๆ เขียนอ้อนวอนฮีโร่ของพวกเขาไม่ให้ย้ายทีม ลูกเล็กเด็กแดงพร้อมใจกันสวมเสื้อกาก้า ชูป้ายกระดาษที่เตรียมมาเอง ร่วมร้องตะโกนกับแฟนบอลผู้ใหญ่ด้วย
กาก้าบอกว่ารู้สึกปลาบปลื้มตื้นตันจนแทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ และวินาทีนั้นเขารู้ใจตัวเองว่า มิลานคือสถานที่ที่เหมาะสมกับตัวเขา
การปฏิเสธข้อเสนอมหาศาลของแมนฯ ซิตี้ เป็นบทพิสูจน์ของคำว่า "เงินซื้อไม่ได้ทุกอย่าง "
แต่แฟนบอลเอซี มิลาน ไม่ควรจะรีบฉลอง เพราะเบื้องลึกเบื้องหลังของการบอกปัดย้ายไปแมนเชสเตอร์ ซิตี้นี้ อาจไม่ใช่แค่ความรู้สึกจงรักภักดีต่อสโมสรอย่างเดียว
แม้กาก้าจะทำในสิ่งที่คนทั้งโลกลูกหนังยกย่อง แต่เจ้าตัวเองก็ย่อมมีความฝัน และเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม เขาก็ต้องเป็นคนตัดสินอนาคตของตัวเอง
ฝันของกาก้าก็คือการสวมชุดขาว เล่นให้อีกหนึ่งยอดทีมของโลก นั่นคือ เรอัล มาดริด ดังที่เจ้าตัวเคยกล่าวเอาไว้ว่า หากไม่อยู่มิลานแล้ว เขาก็คงเล่นให้เรอัล
และอาศัยข่าวครึกโครมของกาก้าในช่วงนี้ ฟลอเรนติโน่ เปเรซ อดีตประธานจอมทุ่มแหลกของชุดขาว จึงชูนโยบายในการหาเสียง สัญญาว่าจะดึงเพลย์เมกเกอร์แซมบ้ามาร่วมทีมให้ได้ หากได้รับเลือกมานั่งเก้าอี้ตัวเดิมในซัมเมอร์นี้
เปเรซ อดีตประธานเรอัล มาดริด ผู้ดำรงตำแหน่งในปี 2000-2006 สร้างความฮือฮาเซ็นสัญญาสุดยอดแข้งของโลกมารวมกันในถิ่นซานติโก เบร์นาเบว จนได้รับสมญาเป็นทีม "กาลัคติกอส" มาแล้ว
ผลงานชิ้นโบแดงของเปเรซ คือการเซ็นสัญญานักเตะค่าตัวแพงที่สุดในโลกอย่าง ซีเนอดีน ซีดาน
แต่ที่สร้างความฮือฮาชนิดลืมไม่ลงก็คือ การดึงหลุยส์ ฟิโก้ ปีกทีมชาติโปรตุเกสมาจากบาร์เซโลน่า ทีมคู่แค้นสำคัญมาแบบช็อกแฟนเลือดหมูน้ำเงิน
มาคราวนี้ เปเรซ รับปากจะดึง กาก้า ดาวเตะแซมบ้าของเอซี มิลานมาร่วมทัพ พร้อมดึง อาร์เซน เวนเกอร์ กุนซืออาร์เซน่อลมาคุมทีมให้ได้ ซึ่งตั้งแต่เคยออกปากมา เปเรซทำได้อย่างที่พูดแทบทุกครั้ง
แม้กาก้าจะยืนยันความภักดีต่อทีมปีศาจแดงดำ แต่ไม่วันใดก็วันหนึ่ง เขาอาจจะทนความยั่วยวนของชุดขาวไม่ไหว
งานนี้เงินไม่เกี่ยว ความสำเร็จ และความท้าทายในเส้นทางค้าแข้งต่างหากที่รอเขาอยู่ในถิ่นซานติอาโก เบร์นาเบว
แฟนมิลานอาจต้องทำใจไว้ล่วงหน้า และร่วมยินดีว่าอย่างน้อย นักเตะขวัญใจของเราก็เลือกที่จะไปอยู่กับทีมที่ยิ่งใหญ่ไม่น้อยกว่ากัน
ไม่ใช่หันหลังให้ทีม ไปอยู่สโมสรที่ด้อยความสำเร็จ เพราะเงินเพียงตัวเดียวเท่านั้น

ข้อมูลจาก : MSN ฟุตบอล