ต้องบอกว่ากว่าจะมาถึงบทสรุปที่หลายคนรอร๊อรอมานานเหลือเกิน มันก็เป็นเรื่องน่าเบื่อที่จะติดตามแล้วสำหรับเส้นทางการย้ายหนีนรกของอังเดร อาร์ชาวิน จากทีมเซนิต เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก ที่สุดท้ายก็มาจบที่ทีม "ปืนใหญ่" อาร์เซนอล จนได้
แต่ก็ต้องบอกว่าลุ้นระทึกกันจนถึงหยดสุดท้ายเลยจริงๆ!
"ดีล" ระดับที่ต้องเอาเข้าทำเนียบการเจรจาที่ยืดเยื้อ ยากเย็น และลำบากลำบนที่สุดในโลกนี้ ความจริงแล้วโดยเนื้อแท้แล้วมันคือความพยายามในการที่จะ "หนี" ออกจาก "นรก" ของกองกลางพรสวรรค์สูงชาวรัสเซียคนนี้
เพราะแม้จะมีสถานะเป็นดัง "ฮีโร่" ของชาวเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก แต่ความสำเร็จมากมายที่ถาโถมเข้ามาอย่างรวดเร็วในระยะเวลาแค่ 2-3 ปีมันทำให้อาร์ชาวิน คิดและเชื่อมั่นว่า เซนิต ไม่ใช่ที่สำหรับเขาอีกต่อไป
ความสำเร็จระดับการทำให้เซนิต เป็นแชมป์ลีกรัสเซีย ยังไม่โดดเด่นเท่าผลงานในการพาเซนิต ทะลวงฟันทุกทีมเข้าไปคว้าแชมป์ยูฟ่า คัพ มาได้อย่างยิ่งใหญ่ในฤดูกาลที่แล้ว
พ่อมดขาวแห่งแดนไซบีเรีย รัสปูตินน้อยแห่งเซนิต หรือจะเรียกอะไรก็ตาม แต่ผลงานของเขามันช่างมหัศจรรย์ยิ่งนัก
แต่เวทีที่ทำให้ชื่อของอาร์ชาวิน กลายเป็นชื่อที่มีแต่คนพูดถึงก็คือยูโร 2008 ที่เขาสามารถร่ายมนต์พาทีมชาติรัสเซีย ผงาดเข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศได้แบบเหลือเชื่อ
ยิ่งในเกมที่สามารถถล่มฮอลแลนด์ ทีมเต็งแชมป์ที่เล่นได้สุดยอดในรอบแรก มันทำให้ชื่อของอาร์ชาวิน "หอมตลบ" ไปหมด
หลังจากนั้นเองที่กองกลางวัย 27 ปีประกาศอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ต้องการที่จะอยู่กับเซนิต อีกต่อไป
เวทียุโรปตะวันออกมันเล็กไปแล้วสำหรับเขา ชื่อเสียง เกียรติยศ ความมั่งคั่งที่ฝั่งยุโรปตะวันออกต่างหากที่เขาต้องการ
นาทีนั้นใครก็เชื่อว่าอาร์ชาวิน จะต้องย้ายทีมแน่และก็ต้องไม่ใช่การย้ายทีมธรรมดา เพราะแม้แต่เจ้าตัวเองก็ประกาศว่าทีมต่อไปที่เขาจะอยู่ด้วยก็ต้องเป็นทีมระดับ "น้องเต้ย" เท่านั้น!
ว่าแล้วอาร์ชาวิน ก็หลุดชื่อทีมที่ชอบมาว่าคงจะเป็นระดับ บาร์เซโลน่า, เรอัล มาดริด, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หรือเชลซี อะไรทำนองนั้น
โดยเฉพาะบาร์ซ่า ที่เป็นทีมในฝันของจริงสำหรับอาร์ชาวิน
แต่เอาเข้าจริง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะท่าทางของอาร์ชาวิน มันน่าหมั่นไส้ไปหรือเปล่า ความต้องการมันสูงเกินไปมั้ย ทำให้การเจรจาที่ไม่ควรจะมีปัญหาอะไรเลยเพราะมันก็เป็นสูตรปกติธรรมดาอยู่แล้วที่เซนิต จะต้องเปิดทางให้ซูเปอร์สตาร์ของชาติไปได้ดีในต่างแดน
การเจรจามันมีปัญหามาโดยตลอด เพราะเอาแค่ด่านแรก เซนิต ก็ทำเอาหลายทีมหันหลังกลับแทบไม่ทัน
ด่านแรกที่ว่าก็คือเรื่องค่าตัวที่สูงลิบ ซึ่งหลายสโมสรไม่คิดว่าการซื้อผู้เล่นจากยุโรปตะวันออกจะต้องจ่ายแพงขนาดนั้น และไม่คิดว่านักเตะอย่างอาร์ชาวิน จะมีค่ามากขนาดนั้น เพราะอายุอานามก็ไม่ใช่น้อยแล้ว ไม่ใช่ดาวรุ่งวัย 20 ต้นๆที่ยังพอจะมีช่องทางขายถอนทุนคืนได้หากไม่ประสบความสำเร็จในอนาคต
อีกปัจจัยคือหลายทีมต่างก็มีซูเปอร์สตาร์ของตัวเองอยู่แล้ว จึงไม่คิดว่าจะต้องจำเป็นซื้ออาร์ชาวิน ที่อาจจะซ้ำซ้อนตำแหน่งและบทบาทของคนอื่นอีก เช่น บาร์ซ่า ก็มีเมสซี่ หรือเรอัล มาดริด ตอนนั้นก็เทใจให้คริสเตียโน่ โรนัลโด้ มากกว่า
ไปๆมาๆอาร์ชาวิน ก็เลยกลายเป็นของที่ทุกคนมองข้าม ไม่มีใครคิดที่จะซื้อตัวไปร่วมทีมอย่างจริงจัง เรื่องนี้ทำเอาความมั่นใจของอาร์ชาวิน ค่อยๆลดลงไปเรื่อยๆจนแทบไม่เหลือ
การดิ้นรนเพื่อหนีเซนิต ให้ได้จึงเกิดขึ้น เวลานั้น อาร์ชาวิน ไม่สนอะไรแล้วนอกจากการออกจากที่นี่ให้ได้
ต่อให้เป็นทีมระดับกลางอย่าง สเปอร์ส ที่ติดต่อเข้ามาก็ไม่เกี่ยง ทั้งที่ในทีแรกบอกไปว่าไม่สนใจทีมระดับนี้หรอก ถ้าจะย้ายไปลอนดอนก็ต้องเป็นเชลซี หรืออาร์เซนอล
แต่พอมันเข้าตาจนก็บอกว่า คุยกับฆวนเด้ รามอส (กุนซือในเวลานั้น) แล้วก็เข้าท่าดีเหมือนกัน!!!
อย่างไรก็ดี ฝันร้ายของอาร์ชาวิน ก็เริ่มตอนนั้นเพราะสุดท้ายแล้วสเปอร์ส ก็ถอดใจไม่ขอสู้ค่าตัวที่ทางเซนิต เรียกร้อง ซึ่งส่วนหนึ่งเชื่อกันว่าเป็นเพราะความเขี้ยวระดับเสือเขี้ยวดาบเรียกพี่ของเซนิต ที่จะดีลกับใครก็ขอเป็น "เงินสด" เท่านั้นไม่มีผ่อน ทำให้หลายทีมขยาด
ที่เซนิต กล้าเล่นตัวได้ขนาดนั้นเป็นเพราะความจริงแล้วนี่เป็นสโมสรที่มีความมั่งคั่งในระดับที่ไม่แพ้ยักษ์ใหญ่ของยุโรปเลย เนื่องจากได้บริษัทน้ำมันระดับชาติเข้ามาสนับสนุนทำให้ฐานะทางการเงินของเซนิต จึงดีกว่าหลายทีมในยุโรปตะวันออก
อาร์ชาวิน เองก็ได้รับค่าเหนื่อยมหาศาลที่เซนิตด้วย (ซึ่งต่อมาก็เกือบเป็นปัญหาให้ไม่ได้ย้ายทีมอีก) มากในระดับเดียวกับซูเปอร์สตาร์ของหลายสโมสรยักษ์ใหญ่เลย
ในแง่นึงก็ไม่แน่ใจกันนักว่าเซนิต จะดีใจหรือเสียใจที่ขายอาร์ชาวิน ไม่ได้เพราะไปทุ่มเงินซื้อเพลย์เมคเกอร์ในสไตล์ใกล้เคียงกันอย่าง แดนนี่ มาแล้วกะให้เป็นตัวตายตัวแทน แต่ก็นั่นแหละในเมื่อยังขายไม่ได้ก็ใช้งานให้เต็มที่ต่อไป ความซวยเลยตกอยู่ที่ดิ๊ก อัตโวคาท เทรนเนอร์ที่ต้องจัดระบบให้ลงตัวสำหรับศิลปินลูกหนังทั้งสองคน
ส่วนอาร์ชาวิน ฝันสลายอกหักอย่างจังแต่ก็กัดฟันบอกว่าไม่เป็นไร ไม่ได้ย้ายทีมรอบนี้ก็ขอทุ่มเทในการเล่นให้กับเซนิต ต่อไปเหมือนเดิม เพราะความจริงแล้วเขาก็เติบโตมาจากสโมสรนี้และไม่เคยย้ายออกไปไหนเลยด้วยซ้ำ
แต่พอถึงใกล้เวลาที่ตลาดการซื้อขายรอบเดือน ม.ค. จะเปิดตัวอีกครั้ง ก็มีเสียงดังมาจากอาร์ชาวิน และตัวแทนคือเดนนิส ลัคเตอร์ อยู่บ่อยๆ
เสียงมันกร้าวแข็งถึงขั้นประกาศว่า "จะไม่อยู่กับเซนิตอีกต่อไป"
คราวนี้เหมือนว่าทุกอย่างน่าจะเป็นไปด้วยดี เพราะทางเซนิต ก็ค่อยๆออกมายอมรับว่ายินดีที่จะเปิดทางให้ และก็มีทีมใหญ่ในระดับที่อาร์ชาวิน น่าจะพอใจติดต่อมาแล้วก็คืออาร์เซนอล
แต่ไอ้ที่เหมือนจะง่ายเอาเข้าจริงมันก็ไม่ง่ายเลย เพราะเซนิต เองก็พิสูจน์เรื่องความเขี้ยวเรียกพ่ออยู่แล้วในฐานะคนขาย
เรื่องมันมาโช๊ะเด๊ะกันตรงที่กันเนอร์ส เองก็เป็นทีมที่เขี้ยวตัวแม่เหมือนกันในฐานะคนซื้อ เพราะอาร์แซน เวนเกอร์ เป็นโค้ชที่เข้มงวดในเรื่องนี้มาก มีปรัชญาเอาไว้เลยว่านักฟุตบอลทุกคนย่อมมีค่าตัวที่แท้จริงของตัวเอง
ถ้าไม่ได้ค่าตัวที่เหมาะสมก็ยอมจะไม่จ่ายเลยดีกว่า ใช้ผู้เล่นชุดเดิมไป
ตลอดเดือน ม.ค. ที่ผ่านมามันก็เลยเป็นศึกระหว่างเขี้ยวเจอเขี้ยวที่งัดกันจนเหงือกบานทั้งสองฝ่าย (ถ้ารวมอาร์ชาวินด้วยก็ 3 ฝ่าย) และเป็นการเจรจาต่อรองที่ใช้เล่ห์เหลี่ยมชิงไหวชิงพริบกันมากที่สุด
ทางเซนิต ใช้กลยุทธ์รุกทางสื่อโดยพยายามปล่อยข่าวก่อนตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการบอกว่าอาร์เซนอลสนใจ ติดต่อมาแล้ว กำลังเจรจา หรือแม้กระทั่งเคยบอกว่าตกลงขายไปแล้วด้วยซ้ำ
แต่พอไปถามเวนเกอร์ บอกว่ายังไม่เห็นจะตกลงกันได้ซะหน่อย อย่าไปสนใจเลยเรื่องนี้?
ทางอาร์ชาวิน ก็ร้อนใจที่การย้ายทีมไม่เกิดขึ้นซักทีจนเริ่มมีการใช้กำลังภายในเหมือนกัน มีขู่ว่าจะใช้กฏเวบสเตอร์ที่สามารถซื้อสัญญาของตัวเองได้หากเซนิต ยังคิดว่าเป็นทาสไม่ยอมปล่อยให้เป็นไท
มีถึงขั้นไปขอเคลียร์กับเซนิต ว่าจะจ่ายเงินค่าเปิดประตูทางออกสโมสรให้ 3 ล้านปอนด์ แล้วจะไปเคลียร์เงินก้อนนี้กับกันเนอร์สในภายหลังด้วย แต่ก็มีข่าวว่ามีปัญหาเรื่องค่าเหนื่อยเหมือนกันเพราะอาร์เซนอล มีเพดานอยู่แค่ 60,000 ปอนด์ ซึ่งน้อยกว่าที่ได้จากเซนิตอีกและต้องการจะขอเรียกที่ 80,000 ปอนด์แทน
การชิงไหวชิงพริบมันมีจนถึงวันสุดท้ายของตลาดการซื้อขายรอบเดือน ม.ค. (ที่ปีนี้ยืดให้เป็นพิเศษถึง 2 ก.พ. เพราะติดเสาร์อาทิตย์พอดี) โดยทางเซนิต พยายามปล่อยข่าวว่าการเจรจาล้มลงไปแล้ว แต่ตัวอาร์าชาวิน ก็เดินทางมาที่ลอนดอนเพื่อรอที่จะทำการตรวจร่างกาย หลังจากที่คุยเรื่องสัญญาส่วนตัวกับอาร์เซนอล จบ
จากนั้นเมื่อการตรวจร่างกายเป็นไปอย่างเรียบร้อย แต่ก็ยังไม่มีสัญญาณจากฝ่ายไหนซักทีว่าการเจรจาเรียบร้อยแล้ว
แม้กระทั่งถึงเวลาเส้นตายของการย้ายทีมอะไรมันก็ยังไม่ชัดเจนเลย!
ข่าวกระแสนึงบอกว่า ถึงอาร์ชาวิน จะมาลอนดอนแล้วก็ตามแต่เซนิต ออกแถลงว่าการเจรจายุติแล้วเพราะสโมสรไม่สามารถตกลงค่าตัวกันได้
จุดที่เป็นปัญหาว่ากันว่าเป็นเงินค่าเซ็นสัญญาก้อนใหญ่ที่เซนิต ต้องการได้เงินตรงนี้ด้วยทำให้พยายามดึงเรื่องให้ถึงที่สุด
แต่อีกกระแสมีข่าวว่า เวนเกอร์ เชื่อว่าการเจรจายุติลงด้วยดีและพร้อมจะเผย "ข่าวดี" ให้ฟังในเร็วๆนี้
ทว่าแฟนๆกันเนอร์สและสื่อมวลชนก็ต้องรอจนถึงอีกวันคือวันอังคารกว่าที่จะมีการยืนยันว่าทุกอย่างเรียบร้อย และอาร์ชาวิน ก็จะย้ายมาอยู่กับทีมอาร์เซนอลแน่นอน
เป็นอันว่าความพยายามนานหลายเดือนของอาร์ชาวิน ก็ประสบความสำเร็จจนได้ มหากาพย์การย้ายทีมของอาร์ชาวิน ก็จบลงด้วยดี
อย่างน้อยพ่อมดลูกหนังรัสเซียก็ไม่ต้องนอนฝันร้าย ไม่ต้องหลอนกับเพลง "กักขังฉันเถิดกักขังไป.......ขังตัวอย่าขังหัวใจดีกว่า"
ส่วนอนาคตข้างหน้าในทีมกันเนอร์สจะเป็นอย่างไร อาร์ชาวิน จะเล่นตำแหน่งไหน จะรุ่งมั้ย ก็ไว้ค่อยว่ากันวันหลัง (แค่เรื่องย้ายทีมก็ยาวจนอ่านไม่หมดแล้ว!)
ยังไงก็ดีใจกับแฟนๆอาร์เซนอลด้วยแล้วกันที่ได้ตัวจุดประกายที่สำคัญมาที่น่าจะพยุงทีมในฤดูกาลที่อ่อนแอนี้ได้
รู้อ๊ะเปล่า.....
1. อังเดร เซอร์เกเยวิช อาร์ชาวิน เกิดที่เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก หรือที่ปัจจุบันเรียกว่า เลนินการ์ด เมื่อ 29 พ.ค. 1981
2. ตอนเป็นนักเรียน อาร์ชาวิน เคยอยากเป็นนักหมากรุกมาก่อนจะอยากเล่นฟุตบอลอีก ...... โชคดีของแฟนบอลแท้ๆ!
3. พอมาเรียนมหาวิทยาลัย ก็เขียนวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เครื่องแต่งกายกีฬา แต่ไม่ยอมรับว่าเป็นการไปเรียนเพื่อจีบสาว
4. ตอนเด็กๆหมอนี่ชอบบาร์ซ่า ยุคกุนซือเทวดา โยฮัน ครัฟฟ์มาก ทำให้เคยหลุดว่าการย้ายไปคัมป์ นู คือความฝันเลย
5. อาร์ชาวิน ลงเล่นให้เซนิต ครั้งแรกในการเป็นตัวสำรองในเกมกับแบร๊ดฟอร์ด ในรายการอินเตอร์ โตโต้ คัพ ปี 2000
6. อาร์ชาวิน ยิงไป 71 ประตูใน 310 เกมให้เซนิต พาทีมคว้าแชมป์ลีกรัสเซียในปี 2007 ลีก คัพ 2003 แล้วก็ยูฟ่า คัพ, ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ (ที่ชนะแมนฯ ยูไนเต็ดไง) แล้วก็รัสเซียน ซูเปอร์ คัพ ในปีนี้ส่วนทีมชาติรัสเซียเล่นไป 41 นัดยิงไป 15 ประตู ไม่เลวเลยทีเดียว
7. เรื่องรางวัลส่วนตัวก็กวาดมาเยอะ ปีนี้ก็ได้อันดับ 6 ในรางวัลบัลลงดอร์ด้วย
8. อาร์ชาวิน เคยได้เป็นตัวแทนลงสมัครในการเลือกตั้งท้องถิ่นในเซนิต ให้กับพรรคของอดีตประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน แต่ก็ถอนตัวก่อน
9. คอลัมนิสต์ในเมืองเลนินการ์ด ตราหน้าอาร์ชาวินว่าเป็น "คนทรยศ" ที่อยากจะหนีจากประเทศแล้วประณามว่าเป็นพวกขายตัวเพื่อแลกกับเงินทองให้ยุโรปตะวันออก
10. อาร์ชาวิน อาจจะออกจากเซนิตไปแล้ว แต่เขายังอยู่ในหน้าปฏิทินของสโมสรในหน้าเดือน เม.ย. อยู่..........
ขอขอบคุณ MSN ฟุตบอล