โดเมนฟรี

วันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

กัลเลียนี่ยันอ๊อดโด้-เนสต้ายังอยู่มิลาน


อาเดรียโน่ กัลเลียนี่ รองประธานเอซี มิลาน ออกมายืนยันว่า ทีมจะดึง มัสซิโม่ อ๊อดโด้ วิงแบ๊กทีมชาติอิตาลีกลับมาจากบาเยิร์น มิวนิค พร้อมรับประกัน อเลสซานโดร เนสต้า กองหลังสุดหล่อที่เพิ่งผ่าหลังอีกรอบจะกลับมาลงเล่นได้แน่นอน

มิลานมีความจำเป็นต้องเสริมหลัง เพราะแบ๊กหลายรายเจ็บบ่อย และใกล้ปลดระวาง โดยเฉพาะเปาโล มัลดินี่ ที่จะแขวนสตั๊ดหลังจบซีซั่นนี้ ทำให้ทีมปีศาจแดงดำวางแผนที่จะดึง อ๊อดโด้ กลับมาร่วมทีม หลังปล่อยให้บาเยิร์น มิวนิค ยืมใช้งานในซีซั่นนี้

ขณะที่เนสต้านั้นเข้ารับการผ่าตัดหลังเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา หลังจากต้องพักรักษาตัวมาเกือบตลอดทั้งซีซั่น ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าเจ้าตัวน่าจะต้องแขวนสตั๊ดก่อนเวลาอันควร

อย่างไรก็ดี กัลเลียนี่ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า "แพทย์บอกผมว่าเนสต้าจะกลับมาได้ จากนั้นเราต้องตัดสินใจว่าจะเก็บฟิลิปป์ เซนเดอรอสไว้ต่อหรือไม่ และต้องคุยกับบาเยิร์น มิวนิคเรื่องมัสซิโม่ อ๊อดโด้"

ขอขอบคุณ MSN ฟุตบอล

ดูดู้...กระสุนที่หายไป (นาน)


สำหรับคนที่ห่างหายจากการลงสนามไปนานนับปี การได้กลับมาลงเล่นท่ามกลางหมู่กองเชียร์อีกครั้งและทำได้ 2 ประตูในเกมนั้น มันแทบจะเหมือนการกลับมาในฝันเลยก็เป็นได้

เป็นฝันดีที่รอคอย หลังจากฝันร้ายมาเกือบ 365 วัน

ย้อนหลังกลับไปเมื่อวันที่ 23 ก.พ. ปีที่แล้ว ตอนนั้น เอดูอาร์โด้ ดา ซิลวา กำลังผลิตผลงานสุดร้อนแรงให้กับอาร์เซนอล ที่กำลังนำเป็นจ่าฝูงอยู่แบบโดดๆทำให้แฟนกันเนอร์ส มีความหวังว่าปีนี้อาจจะเป็นปีที่ยังกันส์ของเวนเกอร์ โตพอที่จะก้าวไปกระชากแชมป์คืนมาเสียทีหลังห่างหายความสำเร็จไปหลายปี

แต่เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นในเกมกับเบอร์มิงแฮม เมื่อเอดูอาร์โด้ ดา ซิลวา หรือ "ดูดู้" ได้บอลที่นอกกรอบเขตโทษและกำลังจะพลิกบอลหลบ

ไม่มีใครคิดหรอกว่านาทีนั้น ปลายสตั๊ดของมาร์ติน เทย์เลอร์ กองหลังแข้งโหดกัปตันทีมเดอะ บลูส์ จะโผล่พรวดมา "วาง" บนหน้าแข้งของดูดู้ ทันที

ด้วยองศาที่ทำมุมระนาบได้พอดีกับจังหวะเวลา หน้าแข้งของกองหน้าชาวบราซิลที่ตัดสินใจเลือกเล่นให้ทีมชาติโครเอเชียคนนี้หักสะบั้นเป็นสองท่อนทันที ซ้ำข้อเท้ายังเคลื่อนหลุดจากตำแหน่งด้วย แค่พูดแค่นี้ก็คงพอนึกภาพออกว่ามันเป็นอาการบาดเจ็บที่น่าสยดสยองแค่ไหน

ความรุนแรงของเหตุการณ์ถึงขั้นที่สถานีโทรทัศน์สกายสปอร์ตส ตัดสินใจแช่ภาพนิ่งมุมกว้างไว้ ไม่มีการรีเพลย์ให้เห็นเหตุการณ์ ก่อนที่รายการแมตช์ ออฟ เดอะ เดย์ 2 จะนำภาพเหตุการณ์มาออกอาการในภายหลัง ทำให้คนที่ได้ดูจิตใจห่อเหี่ยวกันไม่น้อย

เคราะห์ดีบนเคราะห์ร้ายที่วันนั้นในสนามอาร์เซนอล มีจิลแบร์โต้ ซิลวา กองกลางชาวบราซิลอยู่ ซึ่งได้กลายเป็นคนเดียวที่พูดสื่อสารภาษาโปรตุเกสกับดูดู้ ที่โอดครวญบนพื้นสนาม ทำให้แพทย์ประจำทีมสามารถที่จะปฐมพยาบาลเบื้องต้นได้ถูกต้อง

แรกทีเดียวไม่มีใครคิดถึงเรื่องที่ดูดู้ จะกลับมาลงสนามได้อีกครั้ง เอาแค่ขอให้กลับมาเดินเหินได้อย่างปลอดภัยก็พอ ขณะที่อาร์แซน เวนเกอร์ นายใหญ่กันเนอร์ส ฉุนขาดถึงขั้นเรียกร้องให้แบนมาร์ติน เทย์เลอร์ ไปตลอดชีวิต (ก่อนที่จะถอนคำพูดในเวลาต่อมา)

เทย์เลอร์ เองได้ขอโทษและไปเยี่ยม ดูดู้ ถึงที่โรงพยาบาล แต่โชคร้ายที่เวลานั้นกองหน้าโครเอเชียจำอะไรไม่ได้เลยอันเป็นผลช็อกจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ที่เล่ามาข้างต้นคือภาพของเหตุสยองขวัญ ที่นำไปสู่ความตกต่ำดำดิ่งของอาร์เซนอล ชนิดที่ยากจะหาคำตอบได้ว่ามันเป็นเพราะเรื่องนี้หรือเปล่า กับการขาดกองหน้าคนเดียวในทีมที่มีสัญชาติญาณของการเป็นศูนย์หน้าอยู่เต็มกาย

รูปร่างอาจจะไม่ใหญ่โตเหมือนเอ็มมานูเอล อเดบายอร์ และไม่ได้มีความเร็วปานจรวดเหมือนธีโอ วัลค็อตต์ แต่เซนส์บอลของดูดู้ เหนือกว่าสองคนนี้มาก การเคลื่อนที่ การทำทาง ความเฉียบขาดเลือดเย็นในจังหวะสังหาร ถ้าจะให้เปรียบก็ต้องบอกว่าเหมือนร็อบบี้ ฟาวเลอร์ สมัยหนุ่มๆไม่มีผิด

อาร์เซนอล เสียศูนย์ไปหลังจากขาดดูดู้ อย่าว่าแต่โอกาสลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกเลย แค่เกาะท็อปโฟร์ก็แทบรากเลือดแล้ว

แต่ถึงยังไงอาร์เซนอล ก็ต้องขอบคุณพระเจ้าที่หมอยังสามารถรักษาดูดู้ จนสามารถกลับมาลงสนามได้อีกครั้ง แม้ว่าจะต้องใช้เวลารักษากันนานเป็นปี และใช้เวลากว่า 3 เดือนในการเรียกสิ่งต่างๆกลับมา ไม่ว่าจะเป็นกล้ามเนื้อ พลัง หรือความเฉียบขาด

มีนักเตะไม่น้อยที่บาดเจ็บขาหักแล้วถึงจะกลับมาได้ก็แทบจะเสียคนไปเลย ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือ ฌิบริล ซิสเซ่ อดีตดาวซัลโวลีกเอิง ที่โชคร้ายขาหัก 2 ครั้งในรอบไม่กี่ปี จนเวลานี้กลายเป็นกองหน้าเกรดบีธรรมดาๆคนหนึ่ง

สำหรับดูดู้ ยังดีที่ดูเหมือนว่าขาหักไม่ได้ทำให้เขาเกิดความขยาด หรือเสีย "สัมผัส" หรือ "เซนส์" ที่ไม่ใช่นักฟุตบอลทุกคนจะมีเหมือนกัน

การกลับมาของดูดู้ ครั้งนี้แค่นัดแรกเราก็พอจะมองเห็นแล้วว่า เขาคือคนที่อาร์เซนอล ต้องการมากกว่าใครในยามนี้ เพราะปัญหาการจบสกอร์คือจุดสลบสำหรับทีมของเวนเกอร์ ในฤดูกาลนี้อย่างชัดเจน

ไม่ว่าจะเป็นอเดบายอร์ หรือเบนดท์เนอร์ ก็ไม่มีใครฝากผีฝากไข้ได้ซักคน จะมีก็แค่โรบิน ฟาน เพอร์วี่ ที่ทำผลงานได้ดีสม่ำเสมอในฤดูกาลนี้ แต่ก็เป็นภาระที่หนักเกินไปสำหรับนักเตะจอมศิลปินซักคน

ที่ผ่านมาในยุครุ่งเรือง อาร์เซนอล ของเวนเกอร์ มักจะลุยใส่คู่แข่งตั้งแต่ต้นและสามารถยิงประตูขึ้นนำก่อนได้เร็วทำให้เล่นได้ง่ายขึ้น แต่มาระยะหลังนี่เองที่มีปัญหาเรื่องของการจบสกอร์ที่ขาดทั้งความเฉียบขาด และบางครั้งการปลูกฝังให้ลูกทีมเล่นอย่างสวยงามก็ทำให้ทีมจบสกอร์ได้ยาก กว่าจะได้แต่ละลูกต้องบุกจนแทบหมดไอเดีย

ยิ่งวันไหนสมองตันเจาะไม่เข้าอย่างเก่งก็เสมอ หรือไม่ก็พาลถึงแพ้ก็ยังมี

ดังนั้นการได้ตัวจบสกอร์ระดับนี้คืนสู่ทีม น่าจะช่วยเติมความเข้มข้นในแนวรุกของกันเนอร์สได้ไม่น้อย

อย่างน้อยๆกระสุนที่เคยยิงสาดเสียเทเสีย ทิ้งขว้างไปหมดก็น่าจะแม่นยำขึ้นถ้าโอกาสหล่นมาถึงดูดู้ ที่ไม่ใช่เฉพาะจะยิงคมแต่ยังทำทางให้เพื่อนได้ดีอีกด้วย

แต่ยังไงเราก็ต้องดูกันยาวๆว่าการกลับมาครั้งนี้จะเป็นแค่ พลุไฟ ที่จุดแวบเดียวให้ดีใจเล่นแล้วหายไปหรือเปล่า?

ถ้าไม่ใช่ - และรวมกับการกลับมาของเซสก์ ฟาเบรกาส ที่หายเร็วเกินคาดน่าจะกลับมาได้อย่างช้าสุดต้นเดือนหน้า

อาร์เซนอล ยังพอมีความหวังที่จะกลับมาเบียดยึดตำแหน่งในท็อปโฟร์ได้อยู่เหมือนกันในฤดูกาลนี้

ขอขอบคุณ MSN ฟุตบอล

วันจันทร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

มหากาพย์ปลดแอก 'รัสปูตินลูกหนัง' อังเดร อาร์ชาวิน


ต้องบอกว่ากว่าจะมาถึงบทสรุปที่หลายคนรอร๊อรอมานานเหลือเกิน มันก็เป็นเรื่องน่าเบื่อที่จะติดตามแล้วสำหรับเส้นทางการย้ายหนีนรกของอังเดร อาร์ชาวิน จากทีมเซนิต เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก ที่สุดท้ายก็มาจบที่ทีม "ปืนใหญ่" อาร์เซนอล จนได้

แต่ก็ต้องบอกว่าลุ้นระทึกกันจนถึงหยดสุดท้ายเลยจริงๆ!

"ดีล" ระดับที่ต้องเอาเข้าทำเนียบการเจรจาที่ยืดเยื้อ ยากเย็น และลำบากลำบนที่สุดในโลกนี้ ความจริงแล้วโดยเนื้อแท้แล้วมันคือความพยายามในการที่จะ "หนี" ออกจาก "นรก" ของกองกลางพรสวรรค์สูงชาวรัสเซียคนนี้

เพราะแม้จะมีสถานะเป็นดัง "ฮีโร่" ของชาวเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก แต่ความสำเร็จมากมายที่ถาโถมเข้ามาอย่างรวดเร็วในระยะเวลาแค่ 2-3 ปีมันทำให้อาร์ชาวิน คิดและเชื่อมั่นว่า เซนิต ไม่ใช่ที่สำหรับเขาอีกต่อไป

ความสำเร็จระดับการทำให้เซนิต เป็นแชมป์ลีกรัสเซีย ยังไม่โดดเด่นเท่าผลงานในการพาเซนิต ทะลวงฟันทุกทีมเข้าไปคว้าแชมป์ยูฟ่า คัพ มาได้อย่างยิ่งใหญ่ในฤดูกาลที่แล้ว

พ่อมดขาวแห่งแดนไซบีเรีย รัสปูตินน้อยแห่งเซนิต หรือจะเรียกอะไรก็ตาม แต่ผลงานของเขามันช่างมหัศจรรย์ยิ่งนัก

แต่เวทีที่ทำให้ชื่อของอาร์ชาวิน กลายเป็นชื่อที่มีแต่คนพูดถึงก็คือยูโร 2008 ที่เขาสามารถร่ายมนต์พาทีมชาติรัสเซีย ผงาดเข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศได้แบบเหลือเชื่อ

ยิ่งในเกมที่สามารถถล่มฮอลแลนด์ ทีมเต็งแชมป์ที่เล่นได้สุดยอดในรอบแรก มันทำให้ชื่อของอาร์ชาวิน "หอมตลบ" ไปหมด

หลังจากนั้นเองที่กองกลางวัย 27 ปีประกาศอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ต้องการที่จะอยู่กับเซนิต อีกต่อไป

เวทียุโรปตะวันออกมันเล็กไปแล้วสำหรับเขา ชื่อเสียง เกียรติยศ ความมั่งคั่งที่ฝั่งยุโรปตะวันออกต่างหากที่เขาต้องการ

นาทีนั้นใครก็เชื่อว่าอาร์ชาวิน จะต้องย้ายทีมแน่และก็ต้องไม่ใช่การย้ายทีมธรรมดา เพราะแม้แต่เจ้าตัวเองก็ประกาศว่าทีมต่อไปที่เขาจะอยู่ด้วยก็ต้องเป็นทีมระดับ "น้องเต้ย" เท่านั้น!

ว่าแล้วอาร์ชาวิน ก็หลุดชื่อทีมที่ชอบมาว่าคงจะเป็นระดับ บาร์เซโลน่า, เรอัล มาดริด, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หรือเชลซี อะไรทำนองนั้น

โดยเฉพาะบาร์ซ่า ที่เป็นทีมในฝันของจริงสำหรับอาร์ชาวิน

แต่เอาเข้าจริง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะท่าทางของอาร์ชาวิน มันน่าหมั่นไส้ไปหรือเปล่า ความต้องการมันสูงเกินไปมั้ย ทำให้การเจรจาที่ไม่ควรจะมีปัญหาอะไรเลยเพราะมันก็เป็นสูตรปกติธรรมดาอยู่แล้วที่เซนิต จะต้องเปิดทางให้ซูเปอร์สตาร์ของชาติไปได้ดีในต่างแดน

การเจรจามันมีปัญหามาโดยตลอด เพราะเอาแค่ด่านแรก เซนิต ก็ทำเอาหลายทีมหันหลังกลับแทบไม่ทัน

ด่านแรกที่ว่าก็คือเรื่องค่าตัวที่สูงลิบ ซึ่งหลายสโมสรไม่คิดว่าการซื้อผู้เล่นจากยุโรปตะวันออกจะต้องจ่ายแพงขนาดนั้น และไม่คิดว่านักเตะอย่างอาร์ชาวิน จะมีค่ามากขนาดนั้น เพราะอายุอานามก็ไม่ใช่น้อยแล้ว ไม่ใช่ดาวรุ่งวัย 20 ต้นๆที่ยังพอจะมีช่องทางขายถอนทุนคืนได้หากไม่ประสบความสำเร็จในอนาคต

อีกปัจจัยคือหลายทีมต่างก็มีซูเปอร์สตาร์ของตัวเองอยู่แล้ว จึงไม่คิดว่าจะต้องจำเป็นซื้ออาร์ชาวิน ที่อาจจะซ้ำซ้อนตำแหน่งและบทบาทของคนอื่นอีก เช่น บาร์ซ่า ก็มีเมสซี่ หรือเรอัล มาดริด ตอนนั้นก็เทใจให้คริสเตียโน่ โรนัลโด้ มากกว่า

ไปๆมาๆอาร์ชาวิน ก็เลยกลายเป็นของที่ทุกคนมองข้าม ไม่มีใครคิดที่จะซื้อตัวไปร่วมทีมอย่างจริงจัง เรื่องนี้ทำเอาความมั่นใจของอาร์ชาวิน ค่อยๆลดลงไปเรื่อยๆจนแทบไม่เหลือ

การดิ้นรนเพื่อหนีเซนิต ให้ได้จึงเกิดขึ้น เวลานั้น อาร์ชาวิน ไม่สนอะไรแล้วนอกจากการออกจากที่นี่ให้ได้

ต่อให้เป็นทีมระดับกลางอย่าง สเปอร์ส ที่ติดต่อเข้ามาก็ไม่เกี่ยง ทั้งที่ในทีแรกบอกไปว่าไม่สนใจทีมระดับนี้หรอก ถ้าจะย้ายไปลอนดอนก็ต้องเป็นเชลซี หรืออาร์เซนอล

แต่พอมันเข้าตาจนก็บอกว่า คุยกับฆวนเด้ รามอส (กุนซือในเวลานั้น) แล้วก็เข้าท่าดีเหมือนกัน!!!

อย่างไรก็ดี ฝันร้ายของอาร์ชาวิน ก็เริ่มตอนนั้นเพราะสุดท้ายแล้วสเปอร์ส ก็ถอดใจไม่ขอสู้ค่าตัวที่ทางเซนิต เรียกร้อง ซึ่งส่วนหนึ่งเชื่อกันว่าเป็นเพราะความเขี้ยวระดับเสือเขี้ยวดาบเรียกพี่ของเซนิต ที่จะดีลกับใครก็ขอเป็น "เงินสด" เท่านั้นไม่มีผ่อน ทำให้หลายทีมขยาด

ที่เซนิต กล้าเล่นตัวได้ขนาดนั้นเป็นเพราะความจริงแล้วนี่เป็นสโมสรที่มีความมั่งคั่งในระดับที่ไม่แพ้ยักษ์ใหญ่ของยุโรปเลย เนื่องจากได้บริษัทน้ำมันระดับชาติเข้ามาสนับสนุนทำให้ฐานะทางการเงินของเซนิต จึงดีกว่าหลายทีมในยุโรปตะวันออก

อาร์ชาวิน เองก็ได้รับค่าเหนื่อยมหาศาลที่เซนิตด้วย (ซึ่งต่อมาก็เกือบเป็นปัญหาให้ไม่ได้ย้ายทีมอีก) มากในระดับเดียวกับซูเปอร์สตาร์ของหลายสโมสรยักษ์ใหญ่เลย

ในแง่นึงก็ไม่แน่ใจกันนักว่าเซนิต จะดีใจหรือเสียใจที่ขายอาร์ชาวิน ไม่ได้เพราะไปทุ่มเงินซื้อเพลย์เมคเกอร์ในสไตล์ใกล้เคียงกันอย่าง แดนนี่ มาแล้วกะให้เป็นตัวตายตัวแทน แต่ก็นั่นแหละในเมื่อยังขายไม่ได้ก็ใช้งานให้เต็มที่ต่อไป ความซวยเลยตกอยู่ที่ดิ๊ก อัตโวคาท เทรนเนอร์ที่ต้องจัดระบบให้ลงตัวสำหรับศิลปินลูกหนังทั้งสองคน

ส่วนอาร์ชาวิน ฝันสลายอกหักอย่างจังแต่ก็กัดฟันบอกว่าไม่เป็นไร ไม่ได้ย้ายทีมรอบนี้ก็ขอทุ่มเทในการเล่นให้กับเซนิต ต่อไปเหมือนเดิม เพราะความจริงแล้วเขาก็เติบโตมาจากสโมสรนี้และไม่เคยย้ายออกไปไหนเลยด้วยซ้ำ

แต่พอถึงใกล้เวลาที่ตลาดการซื้อขายรอบเดือน ม.ค. จะเปิดตัวอีกครั้ง ก็มีเสียงดังมาจากอาร์ชาวิน และตัวแทนคือเดนนิส ลัคเตอร์ อยู่บ่อยๆ

เสียงมันกร้าวแข็งถึงขั้นประกาศว่า "จะไม่อยู่กับเซนิตอีกต่อไป"

คราวนี้เหมือนว่าทุกอย่างน่าจะเป็นไปด้วยดี เพราะทางเซนิต ก็ค่อยๆออกมายอมรับว่ายินดีที่จะเปิดทางให้ และก็มีทีมใหญ่ในระดับที่อาร์ชาวิน น่าจะพอใจติดต่อมาแล้วก็คืออาร์เซนอล

แต่ไอ้ที่เหมือนจะง่ายเอาเข้าจริงมันก็ไม่ง่ายเลย เพราะเซนิต เองก็พิสูจน์เรื่องความเขี้ยวเรียกพ่ออยู่แล้วในฐานะคนขาย

เรื่องมันมาโช๊ะเด๊ะกันตรงที่กันเนอร์ส เองก็เป็นทีมที่เขี้ยวตัวแม่เหมือนกันในฐานะคนซื้อ เพราะอาร์แซน เวนเกอร์ เป็นโค้ชที่เข้มงวดในเรื่องนี้มาก มีปรัชญาเอาไว้เลยว่านักฟุตบอลทุกคนย่อมมีค่าตัวที่แท้จริงของตัวเอง

ถ้าไม่ได้ค่าตัวที่เหมาะสมก็ยอมจะไม่จ่ายเลยดีกว่า ใช้ผู้เล่นชุดเดิมไป

ตลอดเดือน ม.ค. ที่ผ่านมามันก็เลยเป็นศึกระหว่างเขี้ยวเจอเขี้ยวที่งัดกันจนเหงือกบานทั้งสองฝ่าย (ถ้ารวมอาร์ชาวินด้วยก็ 3 ฝ่าย) และเป็นการเจรจาต่อรองที่ใช้เล่ห์เหลี่ยมชิงไหวชิงพริบกันมากที่สุด

ทางเซนิต ใช้กลยุทธ์รุกทางสื่อโดยพยายามปล่อยข่าวก่อนตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการบอกว่าอาร์เซนอลสนใจ ติดต่อมาแล้ว กำลังเจรจา หรือแม้กระทั่งเคยบอกว่าตกลงขายไปแล้วด้วยซ้ำ

แต่พอไปถามเวนเกอร์ บอกว่ายังไม่เห็นจะตกลงกันได้ซะหน่อย อย่าไปสนใจเลยเรื่องนี้?

ทางอาร์ชาวิน ก็ร้อนใจที่การย้ายทีมไม่เกิดขึ้นซักทีจนเริ่มมีการใช้กำลังภายในเหมือนกัน มีขู่ว่าจะใช้กฏเวบสเตอร์ที่สามารถซื้อสัญญาของตัวเองได้หากเซนิต ยังคิดว่าเป็นทาสไม่ยอมปล่อยให้เป็นไท

มีถึงขั้นไปขอเคลียร์กับเซนิต ว่าจะจ่ายเงินค่าเปิดประตูทางออกสโมสรให้ 3 ล้านปอนด์ แล้วจะไปเคลียร์เงินก้อนนี้กับกันเนอร์สในภายหลังด้วย แต่ก็มีข่าวว่ามีปัญหาเรื่องค่าเหนื่อยเหมือนกันเพราะอาร์เซนอล มีเพดานอยู่แค่ 60,000 ปอนด์ ซึ่งน้อยกว่าที่ได้จากเซนิตอีกและต้องการจะขอเรียกที่ 80,000 ปอนด์แทน

การชิงไหวชิงพริบมันมีจนถึงวันสุดท้ายของตลาดการซื้อขายรอบเดือน ม.ค. (ที่ปีนี้ยืดให้เป็นพิเศษถึง 2 ก.พ. เพราะติดเสาร์อาทิตย์พอดี) โดยทางเซนิต พยายามปล่อยข่าวว่าการเจรจาล้มลงไปแล้ว แต่ตัวอาร์าชาวิน ก็เดินทางมาที่ลอนดอนเพื่อรอที่จะทำการตรวจร่างกาย หลังจากที่คุยเรื่องสัญญาส่วนตัวกับอาร์เซนอล จบ

จากนั้นเมื่อการตรวจร่างกายเป็นไปอย่างเรียบร้อย แต่ก็ยังไม่มีสัญญาณจากฝ่ายไหนซักทีว่าการเจรจาเรียบร้อยแล้ว

แม้กระทั่งถึงเวลาเส้นตายของการย้ายทีมอะไรมันก็ยังไม่ชัดเจนเลย!

ข่าวกระแสนึงบอกว่า ถึงอาร์ชาวิน จะมาลอนดอนแล้วก็ตามแต่เซนิต ออกแถลงว่าการเจรจายุติแล้วเพราะสโมสรไม่สามารถตกลงค่าตัวกันได้

จุดที่เป็นปัญหาว่ากันว่าเป็นเงินค่าเซ็นสัญญาก้อนใหญ่ที่เซนิต ต้องการได้เงินตรงนี้ด้วยทำให้พยายามดึงเรื่องให้ถึงที่สุด

แต่อีกกระแสมีข่าวว่า เวนเกอร์ เชื่อว่าการเจรจายุติลงด้วยดีและพร้อมจะเผย "ข่าวดี" ให้ฟังในเร็วๆนี้

ทว่าแฟนๆกันเนอร์สและสื่อมวลชนก็ต้องรอจนถึงอีกวันคือวันอังคารกว่าที่จะมีการยืนยันว่าทุกอย่างเรียบร้อย และอาร์ชาวิน ก็จะย้ายมาอยู่กับทีมอาร์เซนอลแน่นอน

เป็นอันว่าความพยายามนานหลายเดือนของอาร์ชาวิน ก็ประสบความสำเร็จจนได้ มหากาพย์การย้ายทีมของอาร์ชาวิน ก็จบลงด้วยดี

อย่างน้อยพ่อมดลูกหนังรัสเซียก็ไม่ต้องนอนฝันร้าย ไม่ต้องหลอนกับเพลง "กักขังฉันเถิดกักขังไป.......ขังตัวอย่าขังหัวใจดีกว่า"

ส่วนอนาคตข้างหน้าในทีมกันเนอร์สจะเป็นอย่างไร อาร์ชาวิน จะเล่นตำแหน่งไหน จะรุ่งมั้ย ก็ไว้ค่อยว่ากันวันหลัง (แค่เรื่องย้ายทีมก็ยาวจนอ่านไม่หมดแล้ว!)

ยังไงก็ดีใจกับแฟนๆอาร์เซนอลด้วยแล้วกันที่ได้ตัวจุดประกายที่สำคัญมาที่น่าจะพยุงทีมในฤดูกาลที่อ่อนแอนี้ได้



รู้อ๊ะเปล่า.....

1. อังเดร เซอร์เกเยวิช อาร์ชาวิน เกิดที่เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก หรือที่ปัจจุบันเรียกว่า เลนินการ์ด เมื่อ 29 พ.ค. 1981

2. ตอนเป็นนักเรียน อาร์ชาวิน เคยอยากเป็นนักหมากรุกมาก่อนจะอยากเล่นฟุตบอลอีก ...... โชคดีของแฟนบอลแท้ๆ!

3. พอมาเรียนมหาวิทยาลัย ก็เขียนวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เครื่องแต่งกายกีฬา แต่ไม่ยอมรับว่าเป็นการไปเรียนเพื่อจีบสาว

4. ตอนเด็กๆหมอนี่ชอบบาร์ซ่า ยุคกุนซือเทวดา โยฮัน ครัฟฟ์มาก ทำให้เคยหลุดว่าการย้ายไปคัมป์ นู คือความฝันเลย

5. อาร์ชาวิน ลงเล่นให้เซนิต ครั้งแรกในการเป็นตัวสำรองในเกมกับแบร๊ดฟอร์ด ในรายการอินเตอร์ โตโต้ คัพ ปี 2000

6. อาร์ชาวิน ยิงไป 71 ประตูใน 310 เกมให้เซนิต พาทีมคว้าแชมป์ลีกรัสเซียในปี 2007 ลีก คัพ 2003 แล้วก็ยูฟ่า คัพ, ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ (ที่ชนะแมนฯ ยูไนเต็ดไง) แล้วก็รัสเซียน ซูเปอร์ คัพ ในปีนี้ส่วนทีมชาติรัสเซียเล่นไป 41 นัดยิงไป 15 ประตู ไม่เลวเลยทีเดียว

7. เรื่องรางวัลส่วนตัวก็กวาดมาเยอะ ปีนี้ก็ได้อันดับ 6 ในรางวัลบัลลงดอร์ด้วย

8. อาร์ชาวิน เคยได้เป็นตัวแทนลงสมัครในการเลือกตั้งท้องถิ่นในเซนิต ให้กับพรรคของอดีตประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน แต่ก็ถอนตัวก่อน

9. คอลัมนิสต์ในเมืองเลนินการ์ด ตราหน้าอาร์ชาวินว่าเป็น "คนทรยศ" ที่อยากจะหนีจากประเทศแล้วประณามว่าเป็นพวกขายตัวเพื่อแลกกับเงินทองให้ยุโรปตะวันออก

10. อาร์ชาวิน อาจจะออกจากเซนิตไปแล้ว แต่เขายังอยู่ในหน้าปฏิทินของสโมสรในหน้าเดือน เม.ย. อยู่..........
ขอขอบคุณ MSN ฟุตบอล

วันอาทิตย์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ยูเว่เดินหน้า ยื่นซื้อซิลบาแล้ว


ยูเวนตุส เดินหน้ายื่นข้อเสนอซื้อ ดาบิด ซิลบา ปีกตัวเก่งของบาเลนเซียแล้วในราคา 30 ล้านยูโร หรือราว 1,350 ล้านบาท หลังมีรายงานว่าส่งบอร์ดมาดูฟอร์มเมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา
มีรายงานว่าอเลสซิโอ เซคโค่ ผอ.กีฬาของยูเวนตุสซึ่งคุมการซื้อขายนักเตะของทัพเบียงโค่เนรี่ บินไปเซบีย่า เพื่อดูเกมอุ่นเครื่องที่สเปนชนะอังกฤษ 2-0 เมื่อวันพุธที่ผ่านมา โดยมีเป้าหมายที่ซิลบา ปีกตัวกลั่นของทัพกระทิงดุันั่นเอง
ล่าสุด ราดิโอ บาเลนเซีย-กาเดน่า สถานีวิทยุในสเปนรายงานว่า ทีมม้าลายได้ติดต่อมายัง โฆเซ่ บิเซนเต้ เซกี บอร์ดของบาเลนเซียแล้ว เพื่อยื่นข้อเสนอซื้อตัวซิลบาในราคา 30 ล้านยูโร หรือราว 1,350 ล้านบาท ดังที่ไอ้ค้างคาวเรียกร้อง
โดยทีมม้าลายจะจ่ายเงินสด 25 ล้านยูโรให้ก่อน ส่วนอีก5 ล้านยูโรนั้น ขึ้นอยู่กับจำนวนนัดที่ลงสนาม และความสำเร็จ
นอกจากนี้ ยอดทีมแห่งตูีรินยังพร้อมจะเสนอเซ็นสัญญา 5 ปี และให้ค่าเหนื่อยฤดูกาลละ 4.5 ล้านยูโร หรือราว 200 ล้านบาท
ขอขอบคุณ MSN ฟุตบอล

วันจันทร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

Top 10 การเซ็นสัญญาสุดแพงแห่งอิตาลี

ก่อนที่ตลาดซื้อขายนักเตะประจำหน้าหนาวจะรูดม่านปิดฉาก ลีกเลี่ยนเค้าจัดอันดับการเซ็นสัญญาที่สร้างกระแสความฮือฮา และใช้เงินสูงที่สุดเท่าที่เคยมีในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอิตาลี

โชคดีที่กาก้า เพลย์เมกเกอร์แซมบ้าของเอซี มิลาน ไม่ได้ตอบรับข้อเสนอของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ทุ่มเงินซื้อเขา 100 ล้านปอนด์ หรือร่วม 5,000 ล้านบาท ไม่งั้นเราคงต้องใส่เขาเพิ่มไปทั้งที่ไม่อยากใส่
ด้วยเหตุนี้ ซีเนอดีน ซีดาน จึงยังกลายเป็นเบอร์หนึ่งของทำเนียบการซื้อขายที่ค่าตัวมหาศาลที่สุดในอิตาลี และของโลกลูกหนัง รอวันจะมีดาวเตะหน้าใหม่ทำลายสถิติเท่านั้น
10.รุย คอสต้าจาก ฟิออเรนติน่า ไปยัง มิลาน (27 ล้านปอนด์, 2001)เพลย์เมกเกอร์โปรตุกีสไม่ต้องการย้ายทีม และร้องไห้เมื่อรู้ว่าฟิออเรนติน่าจับมือตกลงขายเขาให้มิลานไปแล้ว รุยเป็นหลักให้มิลานสักพักก็โดนกาก้า ที่ย้ายมาสู่รังปีศาจแดงดำในปี 2003 แย่งตำแหน่งตัวจริงไป
9. ฮวน เซบาสเตียน เวรอนจาก ลาซิโอ ไปยัง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด(28.1 ล้านปอนด์, 2001)หลังจากใช้เวลา 5 ปี สร้างชื่อในอิตาลี กับซามพ์โดเรีย, ปาร์ม่า และลาซิโอ เขาก็ลองย้ายไปหาประสบการณ์ใหม่ๆ ในพรีเมียร์ลีกอังกฤษ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ จนเชลซีมาขอซื้อตัวไปร่วมทัพในปี 2003 ทำให้รวมๆ แล้วค่าตัวของเวรอนในการย้ายทีมทั้งหมดรวมกันสูงถึง 77 ล้านปอนด์เลยทีเดียว
8. โรนัลโด้จาก อินเตอร์ ไปยัง เรอัล มาดริด (28.5 ล้านปอนด์, 2002)อินเตอร์ได้แต่พยาบาลดูแลอาการบาดเจ็บโรนัลโด้ พอหายเขาก็ไปเล่นฟุตบอลโลก 2002 และระเบิดฟอร์มพาทีมชาติบราซิลคว้าแชมป์เวิลด์คัพได้ และเจ้าเหยินใหญ่ก็ตอบแทนอินเตอร์ที่ฟูมฟักเขามาตลอด ด้วยการย้ายไปเซ็นสัญญากับเรอัล มาดริด
7. กาอิซกา เมนดิเอต้าจาก บาเลนเซีย ไปยัง ลาซิโอ (29 ล้านปอนด์, 2001)อยู่ๆ เมนดี้ก็กลายเป็นมิดฟิลด์ที่เนื้อหอมที่สุดในยุโรป เมื่อแจ้งเกิดกับบาเลนเซีย แต่ชีวิตค้าแข้งที่กำลังเจิดจรัสก็เหมือนพลุที่ส่องสว่างแล้วก็มอดไหม้ไป เพราะนับตั้งแต่ย้ายมาลาซิโอ เขาก็ไม่อาจงัดฟอร์มเก่งออกมาได้ และลงเล่นให้ลาซิโอแค่ 20 นัดเท่านั้น
6. พาเวล เนดเวดจาก ลาซิโอ ไปยัง ยูเวนตุส (30.6 ล้านปอนด์, 2001)ยูเวนตุสเอาเงินที่ขายซีเนอดีน ซีดาน ไปให้เรอัล มาดริดเป็นจำนวนมหาศาล มาทุ่มซื้อพาเวล เนดเวด ปีกเลือดเชกของลาซิโอ และเป็นการตัดสินใจที่ไม่ผิดพลาดเลย เพราะเนดเวดโชว์ฟอร์มยอดเยี่ยม จนคว้าบัลลงดอร์ในปี 2003 และเขาก็แสดงความจงรักภักดีด้วยการอยู่โยงกับยูเว่แม้ทีมจะตกชั้นไปเล่นในเซเรีย บีจากคดีล้มบอลในปี 2006
5. อังเดร เชฟเชนโก้จาก มิลาน ไปยัง เชลซี(30.8 ล้านปอนด์, 2006)นับเป็นการย้ายที่ยืนยันว่าอิตาลีไม่ใช่จอมทุ่มอีกต่อไป และสโมสรที่มีทุนหนากลายเป็นทีมจากอังกฤษที่พร้อมทุ่มเงินมหาศาลดึงสตาร์ดังไปร่วมทัพ อย่างกรณีนี้ที่เชลซี ทุ่ม 30 ล้านปอนด์ ซื้อเชว่าไปจากมิลาน แต่การผจญภัยในลอนดอนคือฝันร้ายของหัวหอกชาวยูเครนผู้ีนี้ เพราะล้มเหลวสุดๆ และต้องบากหน้าย้ายกลับทีมปีศาจแดงดำเมื่อปีก่อน
4. คริสเตียน วิเอรี่ จาก ลาซิโอ ไปยัง อินเตอร์ (32 ล้านปอนด์, 1999)ในฐานะที่เคยเป็นดาวยิงแถวหน้าของอิตาลี อินเตอร์จึงเคยทุ่มเงินมหาศาลซื้อตัวโบโบ้ไปจากลาซิโอ และเป็นโชคร้ายของเขาที่ไปจากทีมอินทรีฟ้าขาวก่อนที่สโมสรจะก้าวสู่แชมป์อิตาลีในปีต่อมา โบโบ้อยู่กับอินเตอร์นานกว่าสโมสรใดที่เคยค้าแข้งมา นั่นคือ 6 ฤดูกาลด้วยกัน แต่แม้จะยิง 103 ประตูให้อินเตอร์ เขาก็ไม่เคยร่วมคว้าสคูเด๊ตโต้กับทีมงูใหญ่เลย
3. จานลุยจิ บุฟฟ่อนจาก ปาร์่ม่า ไปยัง ยูเวนตุส (32.6 ล้านปอนด์, 2001)เป็นปีที่ยูเว่เดินหน้าเสริมทัพยิ่งใหญ่ เพราะมีเงินเหลือเฟือจากการขายซีดาน พวกเขาดึงเอานายทวารที่ดีทีุ่สุดในอิตาลียามนั้นมาจากปาร์ม่าด้วยสนนราคาที่ถูกมองว่าแพงเกินไปสำหรับนายทวารสักคน แต่จิจี้ บุฟฟ่อน แสดงให้เห็นแล้วว่าคุ้มค่าเม็ดเงินทุกบาททุกสตางค์
2. เฮอร์นัน เครสโป จากปาร์ม่า ไปยัง ลาซิโอ (35.5 ล้านปอนด์, 2000)ผลงานการยิง 61 ประตู จากการลงสนาม 116 นัดให้ปาร์ม่า ทำให้เครสโปเป็นที่หมายปองของหลายทีม ก่อนจะถูกลาซิโอ ทุ่มเงินทำสถิติโลกในยามนั้นซื้อตัวมาเสริมทัพ เพื่อหวังยกระดับทีมให้ยิ่งใหญ่มากขึ้นกว่าเดิม หลังคว้าสคูเด๊ตโต้มาหมาดๆ แต่ทุกอย่างกลับไม่เวิร์ก
1. ซีเนอดีน ซีดานจาก ยูเวนตุส ไปยัง เรอัล มาดริด(46 ล้านปอนด์, 2001)ซีดานสร้างสถิติเป็นนักเตะค่าตัวสูงสุดของโลกมายาวนาน จากการอำลายูเว่ ย้ายไปยังเรอัล มาดริด ในยุคกาลัคติกอส ที่มีแต่สุดยอดแข้งไปรวมตัวกัน และซิซูก็ประสบความสำเร็จคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกได้ทันทีในปีแรกที่สวมใส่ชุดขาว


ขอขอบคุณ MSN ฟุตบอล

วันเสาร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

เบ๊คส์ใกล้ซบมิลานถาวรเต็มแก่


เดวิด เบ๊คแฮม กองกลางทีมชาติอังกฤษซึ่งย้ายจากแอลเอ แกแล็กซี่มาอยู่กับเอซี มิลานด้วยสัญญายืมตัว3 เดือน กำลังจะสมหวังได้ซบทีมปีศาจแดงดำถาวร หลังมีรายงานว่าตกลงค่าตอบแทนกันได้ เหลือแค่หาข้อสรุปกับแกแล็กซี่ให้ได้เท่านั้น

กองกลางจอมปั่นฟรีคิกของลอสแอนเจลิส แกแล็กซี่ ย้ายมาเล่นในถิ่น ซาน ซิโร่ ด้วยสัญญายืมตัวจนถึงวันจันทร์ที่ 9 มี.ค.นี้ แต่ด้วยฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยม ทำให้ทาง มิลาน พยายามที่จะรั้งตัวนักเตะเอาไว้ เช่นเดียวกับเบ๊คแฮมที่ยอมรับเองว่าเขาก็ต้องการอยู่ในถิ่นซาน ซิโร่ต่อ แม้จะต้องลดค่าเหนื่อยก็ตาม
กัซเซ็ตต้า เดลโล่ สปอร์ต สื่อเลี่ยนรายงานว่า มิลานตกลงจ่ายค่าเหนื่อยเบ๊คส์ปีละ4 ล้านปอนด์ หรือราว 200 ล้านบาท โดยเบ๊คส์จะรับรายได้จากลิขสิทธิ์ภาพลักษณ์ของตัวเองทั้งหมดไม่ต้องแบ่งให้ต้นสังกัด นอกจากนี้ทีมปีศาจแดงดำยังเตรียมจ่ายค่าตัวของเขาในราคา 4.5 ล้านปอนด์หรือราว 225 ล้านบาทด้วย
หนุ่มเบ๊คส์กล่าวว่า "ตอนนี้มิลานสำคัญกว่าเงิน ผมอยากคิดเรื่องฟุตบอลและอนาคตค้าแข้งก่อน มันสำคัญมากหากผมได้อยู่มิลานถาวร เพื่อรักษาโอกาสในการลงเล่นต่อเนื่องและเพื่อโอกาสในการติดทีมชาติอังกฤษไปเล่นฟุตบอลโลก 2010"
"ผมยังไม่ได้คุยกับแกแล็กซี่ แต่มีกลุ่มคนที่กำลังทำหน้าที่นี้แทนผมอยู่ ผมหวังว่าจะมีการตกลงกันได้โดยเร็ว" กองกลางเท้าชั่งทองกล่าว


ข้อมูลจาก : MSN ฟุตบอล

พลาตินี่จวกดีลกาก้าบ้าที่สุด


"นโปเลียนลูกหนัง" มิเชล พลาตินี่ ประธานยูฟ่า โจมตีความพยายามของทีม " เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่อยากจะได้ตัวริคาร์โด้ กาก้า จนยอมทุ่มเงิน 100 ล้านปอนด์ ว่าเป็นเรื่องบ้าที่สุด

แม้ว่าเรื่องนี้จะจบลงไปแล้ว แต่ว่าทางด้านพลาตินี่ ในฐานะคนที่ต่อต้านระบบทุน นิยมในเกมฟุตบอลก็โจมตีต่อเรื่องความพยายามที่จะปั่นค่าตัวของนักฟุตบอลเพียงคนเดียวให้ ถึง 100 ล้านปอนด์ว่าเป็นเรื่องที่เกินเลยจากความจริงไปมาก
"การที่คนคนเดียวจะมีค่าตัวถึง 150 ล้านยูโร มันเป็นเรื่องที่เพี้ยนมากสำหรับ สังคม ฟุตบอล และในเรื่องของการเงิน"
"นั่นคือเหตุผลที่เราจะต้องทำอะไรให้มันโปร่งใสและยุติธรรมในเกมฟุตบอล มันไม่ ใช่สิ่งที่ดีเลยต่อประชากรฟุตบอล"
"แมนฯ ซิตี้ สามารถจะดึงเด็กๆ ในเมืองแมนเชสเตอร์ เข้ามาสู่อคาเดมี่ และทำให้พวกเขากลายเป็นเหมือนกาก้าได้"
"พวกเขาไม่จำเป็นต้องจ่ายเงิน 150 ล้านยูโรด้วย เพราะพวกเขาจะได้นักเตะ แบบนี้ในอคาเดมี่ของตัวเอง"

ข้อมูลจาก : MSN ฟุตบอล

Top Ten แข้งกัลโช่ผู้ซื่อสัตย์


หาได้ยากเย็นยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขาแล้วในยุคสมัยนี้ ที่นักเตะซักคนจะเลือกจงรักภักดีต่อสโมสรใดสโมสรหนึ่งไปนานเท่านาน โดยไม่ไขว้เขวไปกับเม็ดเงินมหาศาลที่ทีมอื่นล่อใจให้

ยิ่งในลีกชั้นนำของยุโรป ยิ่งแทบจะนับนิ้วด้วยมือเดียวได้ โดยเฉพาะซูเปอร์สตาร์ดังทั้งหลายมักจะชีพจรลงเท้าเป็นว่าเล่น เพราะในยุคปัจจุบันนี้ มีเรื่องของธุรกิจและผลตอบแทนมาเกี่ยวข้อง
แข้งที่กินอุดมการณ์ขออยู่ขอตายไปกับสโมสรที่ตัวเองรักและผูกพันมีน้อยนิด แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มี ที่อิตาลีเค้าจัดอันดับนักเตะที่ซื่อสัตย์จงรักภักดีที่อยู่กับสโมสรใดสโมสรหนึ่งเป็นเวลายาวนาน ด้วยจำนวนปีที่ขึ้นเลข 2 หลัก
น่าเสียดาย บางคนไม่มีลมหายใจแล้ว แต่หลายคนยังคงเวียนว่ายในวงการลูกหนังในฐานะต่างๆ กัน ตั้งแต่บอร์ดบริหารยันเทรนเนอร์
และน่ายินดีเหลือเกิน ที่ยังมีนักเตะซึ่งปัจจุบันยังค้าแข้งอยู่ติดโผมาด้วยตั้ง 3 คน ทั้งฟรานเชสโก้ ต๊อตติ, อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่ และเปาโล มัลดินี่
เพื่อยืนยันว่าในโลกลูกหนังที่กำลังเปลี่ยนไป ก็ยังมีผู้เล่นที่คู่ควรได้รับการยกย่องจากความจงรักภักดีต่อต้นสังกัดอย่างไม่มีเงื่อนไขเช่นกัน
10. โรแบร์โต้ มันชินี่ (ซามพ์โดเรีย)ก่อนจะผันตัวมาเป็นกุนซือคนดัง (ที่ตกงาน) อย่างในตอนนี้ โรแบร์โต้ มันชินี่ เคยใช้เวลาถึง 15 ปีค้าแข้งกับซามพ์โดเรีย สโมสรซึ่งเขาร่วมคว้าสคูเด๊ตโต้แห่งประวัติศาสตร์ในปี 1991 มันโช่ยังเป็นดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของยอดทีมแห่งเจนัว ถึงตอนนี้ทุกคนตั้งตารอคอยที่จะได้เห็นเขากลับมาลา ซามพ์ในฐานะกุนซือบ้าง
9. จานคาร์โล อันโตโยนี่ (ฟิออเรนติน่า)แม้ฟิออเรนติน่าจะเคยมียอดดาวยิงระดับโลกอย่าง กาเบรียล บาติสตูต้า และโรแบร์โต้ บาจโจ้มาแล้ว แต่ก็ยังไม่ใกล้เคียงกับสิ่งที่อันโตโยนี่ทำเพื่อทีมวิโอล่า เขาเป็นนักเตะที่ลงเล่นให้ทีมม่วงมหากาฬมากที่สุด แม้จะแขวนสตั๊ดไปตั้งแต่ปี 1989 แต่ปัจจุบันเขาก็ยังเป็นขวัญใจตลอดกาลของสาวกฟิอออเรนติน่า
8. ฟรังโก้ บาเรซี่ (มิลาน) สุดยอดปราการหลังตลอดกาลของโลกลูกหนังผู้นี้ รับใช้มิลานและประสบความสำเร็จมาตลอด 20 ปี ทำให้ทีมปีศาจแดงดำต้องรีไทร์เสื้อหมายเลข 6 ให้เขาเพื่อเป็นเกียรติ ความสุดยอดของเขายังถูกการันตีด้วยรางวัล "นักเตะอิตาลียอดเยี่ยมแห่งศตวรรษนี้"
7. จามปิเอโร่ โบนิแปร์ติ (ยูเวนตุส) มีเพียงสโมสรเดียวเท่านั้นที่โบนิแตร์ติรัก และอยู่ในใจไปตลอดชีวิต นั่นคือยูเวนตุส เพราะนับตั้งแต่เริ่มต้นค้าแข้งในปี 1946 เขาก็ไม่เคยหนีไปที่อื่นอีกเลยจนกระทั่งเลิกเล่นในปี 1961 โบนิแปร์ติลงเล่นให้ทัพเบียงโค่เนรี่ 444 นัด และประสบความสำเร็จมากมากนับไม่ถ้วน ปัจจุบันนี้เขาดำรงตำแหน่งประธานกิตติมศักดิ์ของทีมม้าลาย
6. จิจี้ ริว่า (กายารี่) ริว่าทำสิ่งที่ซูเปอร์สตาร์ยอดดาวเตะทั้งหลายไม่มีใครทำ นั่นคือการจงรักภักดีค้าแข้งกับทีมเล็กๆ อย่างกายารี่ 14ปีเต็ม แม้ว่าจะมีหลายสโมสรยักษ์ใหญ่รุมจีบมาตลอด และเขาก็ไม่เคยเสียใจสักนิดที่ใช้เวลาตลอดชีวิตค้าแข้งอยู่บนเกาะซาร์เดนญ่า และคว้าแชมป์เซเรีย อาแค่สมัยเดียวเท่านั้น
5. จาชินโต้ ฟัคเค็ตติ (อินเตอร์) แม้จูเซ็ปเป้ แบร์โกมี่ และฮาเวียร์ ซาเน็ตติ จะเป็นกัปตันที่ยอดเยี่ยมของอินเตอร์ แต่จาชินโต้ ฟัคเค็ตติ คือที่สุดของที่สุด ฟูลแบ๊กมาดนิ่มที่เด็ดขาดเหลือเกินยามอยู่ในสนามเป็นตัวหลักของทีมเนรัซซูรี่ยุคยิ่งใหญ่ภายใต้การคุมทีมของเอเลนิโอ เอร์เรร่า ก่อนจะกลายเป็นประธานสโมสรอินเตอร์ และเสียชีวิตเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาท่ามกลางความโศกเศร้าของทั้งวงการ
4. ฟรานเชสโก้ ต๊อตติ (โรม่า) ฟรานเชสโก้ ต๊อตติ ยังคงเป็นกัปตันผู้ยิ่งใหญ่ของโรม่าในปัจจุบัน และแน่นอนว่าเขาเป็นประวัติศาสตร์ของทีมหมาป่ากรุงโรมไปแล้วหลังพาทีมคว้าสคูเด๊ตโต้มาครองในปี 2001 ต๊อตติเกิดและเติบโตที่เมืองหลวงแห่งนี้ ที่แขนของเขาสักเป็นรูปนักรบแกลดิเอเตอร์ สัญลักษณ์นักสู้แห่งโรมัน สมกับที่เป็นผู้นำพาทัพจัลโล่รอสซี่ประสบความสำเร็จในยุคนี้อย่างแท้จริง
3. อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่ (ยูเวนตุส)ปินตูีริคคิโอคือสมญาของเดล ปิเอโร่ ในฐานะที่เป็นศิลปินลูกหนังที่ฝากผลงานสุดมหัศจรรย์กับยูเวนตุสมาตลอด 15 ปีที่ผ่านมา ดาวยิงหมายเลข 10 ลงเล่นรับใช้ทีมม้าลายเกินหลักไมล์ 500 นัดไปแล้ว แน่นอนว่าเขายังดำรงตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุดของสโมสรอย่างไม่ต้องสงสัย ความจงรักภักดีของหนูเดลเป็นที่ยอมรับและยกย่อง เพราะยืนหยัดช่วยทีมแม้ในวันที่โดนปรับตกชั้นไปเล่นในเซเรีย บี
2. วาเลนติโน่ มัซโซล่า (โตริโน่)วาเลนติโน่ มัซโซล่า คือกัปตันโตริโน่ ชุดที่ยิ่งใหญ่และดีที่สุดเท่าที่ทีมกระทิงหินเคยมี ซึ่งทุกคนรู้จักกันในนาม "อิล กรันเด โตริโน่" หลังประกาศศักดาคว้าแชมป์เซเรีย อา ได้ถึง 5 สมัย วาเล่ได้รับยกย่องเป็น 1 ในนักเตะที่ดีที่สุดในยุคสมัยของเขา แต่น่าเสียดายเหลือเกิน เขาเสียชีวิตพร้อมเพื่อนร่วมทีมชุดประวัติศาสตร์นั้นในเหตุเครื่องบินชนภูเขาที่ซูแปร์ก้า
1. เปาโล มัลดินี่ (มิลาน) กัปตันคนปัจจุบันของเอซี มิลาน ที่แม้วัยจะล่วงเลย 40 ปีแล้ว เขาก็ยังคงยืนหยัดรับใช้ทีมปีศาจแดงดำ สโมสรแรกและสโมสรเดียวในชีวิตค้าแข้งของเขาอยู่ถึงแม้จะต้องต่อสู้อาการบาดเจ็บที่รุมเร้าตลอดหลายปีที่ผ่านมา มัลดินี่พาทีมคว้าแชมป์มาแล้วแทบทุกรายการ เฉพาะเซเรีย อาก็มากถึง 7 สมัย และแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกอีก 5 สมัย มัลดินี่เป็นสุภาพบุรุษทั้งในและนอกสนาม เป็นแบบอย่างของนักเตะยุคใหม่อย่างแท้จริง

ข้อมูลจาก : MSN ฟุตบอล

เกียรติยศ หรือเงินตรา ?


เกือบจะพลิกประวัติศาสตร์วงการลูกหนังโลกไปในทุกๆ ทาง พร้อมๆ กับถูกตราหน้าเป็นนักเตะหิวเงิน แต่กาก้า เพลย์เมกเกอร์สุดหล่อของเอซี มิลาน ก็ลบคำสบประมาท และความหวาดหวั่นต่างๆ ไปได้ ด้วยการบอกปฏิเสธข้อเสนอมหาศาลของแมนเชสเตอร์ ซิตี้

ย้อนกลับไปที่ข่าวครึกโครมในรอบหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อทีมเรือใบสีฟ้า ออกอาละวาดในตลาดซื้อขายหน้าหนาว ด้วยการยื่นข้อเสนอซื้อ กาก้า ในราคาเป็นสถิติโลกถึง 107 ล้านปอนด์ หรือราว 5,400 ล้านบาท
คราวนี้ไม่ใช่แค่ข่าวลือ หรือเรื่องโคมลอยเหมือนที่เคยเป็นมา เพราะซิตี้เดินหน้าเอาจริง และที่น่าตกใจก็คือ ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ ประธานสโมสรเอซี มิลาน ออกมายอมรับเป็นครั้งแรกว่าเขาพร้อมจะขายดาวเตะคนเก่งออกไป
เท่านั้นไม่พอ ยังมีข่าววงในระบุชัดเจนว่า อาเดรียโน่ กัลเลียนี่ รองประธานเป็นคนจัดการนั่งเจรจากับตัวแทนของเรือใบสีฟ้า และตอบรับข้อเสนอของพวกเขาไปแล้วด้วย
เรื่องทั้งหมดจึงตกเป็นหน้าที่ของกาก้าที่จะตัดสินใจ ซึ่งเชื่อกันว่าจะเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าวงการลูกหนัง
เพราะค่าตัวของเขาจะกลายเป็นตัวเลขที่มากที่สุดเท่าที่เคยมีมา และแสดงให้เห็นว่านักเตะในยุคนี้ มองเกมลูกหนังเป็นแค่ผลประโยชน์ด้านตัวเงิน มากกว่าจะสนใจความสำเร็จ หรือความผูกพันจงรักภักดีกับสโมสรใดสโมสรหนึ่ง
เรียกว่า ใครให้เงินมากกว่า ก็ย้ายไปที่นั่น ต่อไปซูเปอร์สตาร์ทั้งหลายอาจจะไปกองกันอยู่ที่ทีมใดทีมหนึ่งที่มีเงินเยอะกว่า ไม่ต้องสนใจเรื่องอื่น
และในกรณีนี้ สุดยอดนักเตะคนหนึ่งแห่งยุค กำลังจะย้ายจากทีมที่ดีที่สุดทีมหนึ่งในยุโรป ไปยังสโมสรซึ่งเล็กกว่า
และเป้าหมายในตอนนี้ยังแค่หนีตกชั้น แม้จะมีโปรเจ็คท์ใหญ่ที่จะก้าวไกลประสบความสำเร็จได้ในอนาคตก็ตามที
สปอตไลท์ทุกดวงพุ่งเป้ามาที่กาก้า และรอการตัดสินใจของเขา สื่อในอิตาลีรายงานช็อตต่อช็อตไม่ว่าจะขยับตัวทำอะไร พวกเขาเห็นแม้กระทั่งว่ากาก้า ร้องไห้ขณะเดินออกมาจากห้องแต่งตัวเอซี มิลาน
สื่อเอาไปขยายความกันอย่างสนุกว่า ร้องเพราะอำลาเพื่อนๆ ร่วมทีม หรือร้องเพราะโดนทุกคนกดดันว่าอย่าย้ายกันแน่
อย่างไรก็ตาม ก่อนจะถูกตราหน้าว่าเป็นนักเตะหิวกระหายเงิน กาก้าก็ทำตามใจหัวใจต้องการ นั่นคือปฏิเสธไม่ย้ายไปแมนเชสเตอร์ ซิตี้ โดยเขาบอกว่าสาเหตุสำคัญที่ทำให้ตัดสินใจเช่นนี้คือ สาวกปีศาจแดงดำ
กาก้าได้ลงเล่นในเกมที่มิลานชนะฟิออเรนติน่า 1-0 เมื่อวันเสาร์ที่แล้ว เกมซึ่งหลายคนคาดการณ์ว่าจะเป็นแมตช์สุดท้ายในสีเสื้อรอสโซ่เนรี่
แต่สิ่งที่เหนือจากรูปเกมและผลการแข่งขันก็คือ แฟนมิลานไปรวมตัวกันประท้วงทั้งก่อนและหลังเกมไม่ให้สโมสรขายกาก้า บางคนบอกว่าถ้าอาเดรียโน่ กัลเลียนี่ อยากขายกาก้า ก็ให้เขาย้ายไปเอง
ในสังเวียน ซาน ซิโร่เต็มไปด้วยป้ายผ้า ที่แฟนๆ เขียนอ้อนวอนฮีโร่ของพวกเขาไม่ให้ย้ายทีม ลูกเล็กเด็กแดงพร้อมใจกันสวมเสื้อกาก้า ชูป้ายกระดาษที่เตรียมมาเอง ร่วมร้องตะโกนกับแฟนบอลผู้ใหญ่ด้วย
กาก้าบอกว่ารู้สึกปลาบปลื้มตื้นตันจนแทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ และวินาทีนั้นเขารู้ใจตัวเองว่า มิลานคือสถานที่ที่เหมาะสมกับตัวเขา
การปฏิเสธข้อเสนอมหาศาลของแมนฯ ซิตี้ เป็นบทพิสูจน์ของคำว่า "เงินซื้อไม่ได้ทุกอย่าง "
แต่แฟนบอลเอซี มิลาน ไม่ควรจะรีบฉลอง เพราะเบื้องลึกเบื้องหลังของการบอกปัดย้ายไปแมนเชสเตอร์ ซิตี้นี้ อาจไม่ใช่แค่ความรู้สึกจงรักภักดีต่อสโมสรอย่างเดียว
แม้กาก้าจะทำในสิ่งที่คนทั้งโลกลูกหนังยกย่อง แต่เจ้าตัวเองก็ย่อมมีความฝัน และเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม เขาก็ต้องเป็นคนตัดสินอนาคตของตัวเอง
ฝันของกาก้าก็คือการสวมชุดขาว เล่นให้อีกหนึ่งยอดทีมของโลก นั่นคือ เรอัล มาดริด ดังที่เจ้าตัวเคยกล่าวเอาไว้ว่า หากไม่อยู่มิลานแล้ว เขาก็คงเล่นให้เรอัล
และอาศัยข่าวครึกโครมของกาก้าในช่วงนี้ ฟลอเรนติโน่ เปเรซ อดีตประธานจอมทุ่มแหลกของชุดขาว จึงชูนโยบายในการหาเสียง สัญญาว่าจะดึงเพลย์เมกเกอร์แซมบ้ามาร่วมทีมให้ได้ หากได้รับเลือกมานั่งเก้าอี้ตัวเดิมในซัมเมอร์นี้
เปเรซ อดีตประธานเรอัล มาดริด ผู้ดำรงตำแหน่งในปี 2000-2006 สร้างความฮือฮาเซ็นสัญญาสุดยอดแข้งของโลกมารวมกันในถิ่นซานติโก เบร์นาเบว จนได้รับสมญาเป็นทีม "กาลัคติกอส" มาแล้ว
ผลงานชิ้นโบแดงของเปเรซ คือการเซ็นสัญญานักเตะค่าตัวแพงที่สุดในโลกอย่าง ซีเนอดีน ซีดาน
แต่ที่สร้างความฮือฮาชนิดลืมไม่ลงก็คือ การดึงหลุยส์ ฟิโก้ ปีกทีมชาติโปรตุเกสมาจากบาร์เซโลน่า ทีมคู่แค้นสำคัญมาแบบช็อกแฟนเลือดหมูน้ำเงิน
มาคราวนี้ เปเรซ รับปากจะดึง กาก้า ดาวเตะแซมบ้าของเอซี มิลานมาร่วมทัพ พร้อมดึง อาร์เซน เวนเกอร์ กุนซืออาร์เซน่อลมาคุมทีมให้ได้ ซึ่งตั้งแต่เคยออกปากมา เปเรซทำได้อย่างที่พูดแทบทุกครั้ง
แม้กาก้าจะยืนยันความภักดีต่อทีมปีศาจแดงดำ แต่ไม่วันใดก็วันหนึ่ง เขาอาจจะทนความยั่วยวนของชุดขาวไม่ไหว
งานนี้เงินไม่เกี่ยว ความสำเร็จ และความท้าทายในเส้นทางค้าแข้งต่างหากที่รอเขาอยู่ในถิ่นซานติอาโก เบร์นาเบว
แฟนมิลานอาจต้องทำใจไว้ล่วงหน้า และร่วมยินดีว่าอย่างน้อย นักเตะขวัญใจของเราก็เลือกที่จะไปอยู่กับทีมที่ยิ่งใหญ่ไม่น้อยกว่ากัน
ไม่ใช่หันหลังให้ทีม ไปอยู่สโมสรที่ด้อยความสำเร็จ เพราะเงินเพียงตัวเดียวเท่านั้น

ข้อมูลจาก : MSN ฟุตบอล