โดเมนฟรี

วันอังคารที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2552

Mission Impossible


ถ้าจะมีใครสักคนบอกว่าลิเวอร์พูล จะยิงถล่มทีมอย่างเรอัล มาดริด กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ทีมละ 4 ประตู อาจจะถูกกล่าวหาว่าไม่บ้าก็เมาได้

แต่มันก็เกิดขึ้นจริง ชนิดที่ต้องปรบมือให้กับความเก่งเหลือเชื่อครั้งนี้ด้วย

ลิเวอร์พูล ได้กลับมาแสดงให้เห็นอีกครั้งว่าพวกเขาเป็นทีมจอมมหัศจรรย์ตัวจริง ในวันที่ "ตั้งใจ" จะเล่นไม่ว่าจะทีมไหน ที่ไหน ก็สามารถเอาชนะได้ทั้งนั้น

แต่ถ้าวันไหนไม่ตั้งใจจะเล่นเต็มสูบ จะทีมไหน ที่ไหน ก็แพ้ได้ เสมอได้เหมือนกัน

โดยเฉพาะในฤดูกาลนี้ ยิ่งคิดมันก็ยิ่งดูน่าตลกเมื่อทีมเดียวกันนี้ที่สามารถชนะได้ทั้งแมนฯ ยูไนเต็ด, เชลซี, เรอัล มาดริด และสร้างปาฏิหารย์คัมแบ็กกลับมาชนะในช่วงท้ายเกมได้บ่อยครั้งในช่วงครึ่งฤดูกาลแรก กลับไม่มีปัญญาจะเอาชนะทีมอย่างสโต๊ค, วีแกน หรือฮัลล์ได้

ตลกร้ายจริงๆ

แต่อย่างน้อยที่สุด การบุกไป "ถล่ม" ปีศาจแดงกระเจิงถึงหลุมนั้น ก็เป็นการปลุกความหวังครั้งใหญ่ในช่วงที่เหลือของฤดูกาลสำหรับลูกทีมของราฟาเอล เบนิเตซ

เหมือนกับครั้งแรกของฤดูกาลที่ชนะในเกมแดงเดือดได้ทำให้เกิด "ความเชื่อ" ว่ามันอาจจะถึงคราวของพวกเขาบ้าง

แม้ในเชิงลึกแล้ว มองกันตามภาพแห่งความเป็นจริงลิเวอร์พูล ก็ไม่ได้ถึงกับชนะอย่าง "ขาดลอย" ตามสกอร์ที่ปรากฏ เพราะพวกเขาไม่ได้เปิดฉากรุกไล่ต้อนตือชนิดที่แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องวิ่งกันขาขวิด และหลายครั้งก็มีอาการปั่นป่วนเมื่อโดนโหมหนักอยู่บ้าง

ลิเวอร์พูล ชนะในเกมนี้ด้วยสกอร์ขาดลอยขนาดนี้เพราะ "จังหวะ" มันเข้าทาง โดยมาพร้อมกันกับ "ความเฉียบขาด" ที่หายไปนาน

น่าสังเกตว่าหงส์แดง กลับมาระเบิดฟอร์มระดับนี้ได้เพราะมีศูนย์หน้าที่ชื่อเฟร์นานโด ตอร์เรส ยืนค้ำยันอยู่ข้างหน้าโดยมีสตีเว่น เจอร์ราร์ด คอยดันให้ข้างหลัง (อย่าคิดลึก)

"เอล นินโญ่" มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งกับรูปเกมทั้ง 2 นัดที่ถลุงเรอัล มาดริด และถล่มแมนฯ ยูไนเต็ด เพราะแม้จะมีข่าวว่าไม่ฟิตเต็มร้อยนักและเพิ่งจะเรียกความฟิตกลับมาลงเล่นได้แบบฉิวเฉียดในเกมแรก ถึงขั้นต้องฉีดยาชาก่อนลงสนามด้วยซ้ำ แต่ความเร็ว ความแข็งแกร่ง และไหวพริบของตอร์เรส สร้างปัญหาให้กับแนวรับเป็นอย่างมาก

แม้กระทั่ง เนมันย่า วิดิช หนึ่งในกองหลังที่ดีที่สุดของโลกในเวลานี้ก็ยังกลายสภาพจาก "เซอร์บิเนเตอร์" เป็น "เซ่อบิเนเด้อ" โดนตอร์เรส เล่นงานจนแทบเสียคน

ประตูตีเสมอที่ลิเวอร์พูลได้ มันอาจจะเป็นจังหวะที่ก้ำกึ่งอยู่บ้างว่าเป็นการฟาวล์หรือไม่ เพราะมือของตอร์เรส ไป "สัมผัส" กับตัวของวิดิช เล็กน้อยก่อนจะโฉบเอาบอลไปยิงประตู แต่จังหวะเดียวกันนี้แหละที่สะท้อนให้เห็นว่า วิดิช มีอาการ "ผวา" กับตอร์เรส ลังเลปล่อยบอลกระดอนพื้นก่อนที่จะโดนความเร็วที่เหนือกว่าแย่งเอาบอลไปราวกับพญาเหยี่ยวโฉบคว้าเหยื่อไปกิน

ประตูนี้เองที่สั่นประสาทแนวรับของแมนฯ ยูไนเต็ด ทำให้ทีมที่เคยไม่เสียประตูนานติดต่อกันร่วม 14 นัด โดนยิงรวดเดียวถึง 4 ลูก

ก่อนที่วิดิช จะไปเสียคนอีกครั้งในช่วงครึ่งหลังเมื่อไป "ดึงเป้า" ของสตีเว่น เจอร์ราร์ด จนโดนใบแดงไล่ออกไป

ด้วยฟอร์มของตอร์เรส ทำให้ปฏิเสธไม่ออกเหมือนกันว่าการขาดกองหน้าแชมป์ยูโรที่พี่เจิดซูฮกยกให้เป็นกองหน้าหมายเลขหนึ่งของโลกไปหลายต่อหายนัดในฤดูกาลนี้ มันส่งผลเสียหายต่อโอกาสลุ้นแชมป์ของลิเวอร์พูลเหมือนกัน

ฤดูกาลนี้ ตอร์เรส ลงเล่นในลีกให้กับลิเวอร์พูล แค่ 16 นัดจาก 29 นัด หายไปถึง 13 นัดด้วยกัน โดยส่วนใหญ่ก็เป็นอาการบาดเจ็บที่แฮมสตริงซึ่งต่อเนื่องมาโดยตลอด

มันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะชวนให้คิดว่าถ้ามีตอร์เรส อยู่ครบทุกนัด ป่านนี้ลิเวอร์พูล อาจจะนำหน้าทุกทีมอยู่ก็ได้

แต่เรื่องนั้นไม่สำคัญอีกแล้ว ไม่ต้องไปคิดถึงมัน

สิ่งสำคัญที่ราฟาเอล เบนิเตซ พยายามเน้นย้ำมี 2 เรื่อง คือหนึ่งปลุกใจลูกทีมด้วยผลการแข่งขันทำให้มีความเชื่อว่าทุกนัดที่เหลือของฤดูกาล พวกเขาไม่ต้องกลัวใครอีกแล้ว

และสองปลุกใจทีมอื่นๆให้เห็นว่าทีมอย่างแมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ใช่จะแตะไม่ได้พ่ายไม่เป็น

ข้อสองนี่แหละที่สำคัญเพราะช่วงก่อนหน้านี้หลายทีมลงสนามในการเจอกับกองทัพอสูรแดงของเฟอร์กี้ ด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง ทั้งที่ความจริงมีหลายนัดเหลือเกินที่แมนฯ ยูไนเต็ด เล่นได้ต่ำกว่ามาตรฐานแต่ก็ยังสามารถเอาชนะได้ ไม่ว่าจะด้วยฝีมือหรือโชคชะตาก็ตามที

ความหวังของราฟา จึงแยกเป็นสองส่วน ทั้งส่วนของทีมตัวเองที่ก็ห้ามพลาดอีกแล้ว และส่วนของทีมอื่นๆที่จะช่วยกันหยุดปีศาจแดงให้

มองในแง่นี้แล้วก็ยังนับว่าน่า "เหนื่อย" เพราะลิเวอร์พูล มันมีภาพเก่าๆของทีมที่พลาดง่ายๆโผล่ให้เห็นประจำ

ในทางตรงข้าม แมนฯ ยูไนเต็ด ก็มีภาพของทีมที่ชนะง่าย แพ้ยาก ติดตาอยู่เสมอ

แต่เวลานี้ เมื่อมันเกิดประกายของ "ปาฏิหารย์" ที่โอลด์ แทรฟฟอร์ดไปแล้ว คงไม่ผิดอะไรถ้าจะบอกให้เดอะ ค็อป ทั้งหลายว่าอย่าเพิ่งเลิกหวัง

พวกคุณมีสิทธิ์ที่จะหวังอยู่ว่าท้ายที่สุด ปาฏิหารย์จะบังเกิด และแชมป์จะกลับมาสู่แอนฟิลด์อีกครั้ง


ขอขอบคุณ MSN ฟุตบอล

ยอดเพชฌฆาต ปิ๊ปโป้ อินซากี้


ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อว่ากองหน้าวัยแตะหลัก 36 ปี จะยังคงค้าแข้งกับทีมชั้นนำของยุโรป และยิงประตูได้เป็นกอบเป็นกำจนล่าสุดแตะหลัก 300 ลูกไปแล้ว แต่นั่นคือผลงานของ ฟิลิปโป้ อินซากี้ หัวหอกจอมดีดดิ้นของเอซี มิลานจริงๆ

หลายคนอาจไม่ชอบใจกับลีลาพุ่งล้มระดับตุ๊กตาทองของเขา ขณะที่บางคนก็เบื่อหน่ายกับการล้ำหน้าไม่บันยะบันยังของเจ้ากุ้ง

แต่หากถามแฟนบอลเอซี มิลาน และทีมชาติอิตาลีแล้ว เขาคือสุดยอดกองหน้าอีกคนหนึ่งแห่งยุค ที่มีความขยัน มีวินัย อดทน ดูแลตัวเองอย่างมืออาชีพ

ไม่ว่าทีมปีศาจแดงดำจะมีศูนย์หน้าใหม่ๆ หรือหัวหอกดาวรุ่งคนไหนมาเสริมทัพ แต่ปิ๊ปโป้ไม่เคยบ่นน้อยใจ หรือแสดงท่าทีฮึดฮัดยามไม่ได้ลงสนาม หรือเป็นสำรอง

และแม้ในวัยขึ้นเลข 3 ปิ๊ปโป้จะต้องเจออุปสรรคในชีวิตค้าแข้งมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาการบาดเจ็บที่รุมเร้าตลอดปี 2004-05 แต่้้เขาก็เลือกที่จะสู้กับมัน

ข้อเท้า คือปัญหาใหญ่สำหรับอินซากี้ แต่นอกจากนั้นยังมีอาการเจ็บที่หลัง, หัวเข่า และศอก ที่รุมเร้าเป็นระยะ ทำให้เขาต้องพักยาวไปเกือบๆ 2 ปี

หลายคนมองว่าปิ๊ปโป้ในตอนนั้นคงไม่มีวันกลับมาคืนฟอร์มสุดยอดของเขาได้อีก ขณะที่แพทย์เคยวินิจฉัยว่าเขาอาจจะต้องแขวนสตั๊ด

นักเตะบางคนได้ยินหมอพูดแบบนี้อาจจะถอดใจ แต่ปิ๊ปโป้กลับทำงานหนักกว่าคนอื่นสองเท่าเพื่อเรียกความฟิตกลับมาด้วยใจมุ่งมั่น

กระทั่งหายกลับมาลงเล่นในซีซั่น 2005-06 ซึ่งเป็นปีที่นักเตะอัซซูรี่ต้องโชว์ฟอร์มให้เตะตา มาร์เชลโล่ ลิปปี้ อิล ชิที อิตาลี เพื่อเลือกเป็น1 ใน 23 ขุนพลลุยเวิลด์คัพให้ได้

ดาวยิงจอมเก๋าสร้างปาฏิหาริย์ด้วยการโชว์ฟอร์มที่ยอดเยี่ยมกับมิลานในฤดูกาลนั้น โดยยิง 12 ประตูจากการลงเล่น 23 นัดในเซเรีย อา

ฟอร์มที่ยอดเยี่ยม บวกด้วยความมุ่งมั่น ทำให้เขาได้รับเสียงเชียร์จากแฟนบอล และสื่อมวลชนอิตาลีให้อิล ชิที ลิปปี้เรียกตัวเขาไปติดธงลุยฟุตบอลโลก 2006

แม้แทบไม่มีส่วนร่วมในรอบคัดเลือกเพราะเจ็บยาวมาตลอด แต่บุญพาวาสนาส่งให้เจ้ากุ้งน้อยติดธงไปเวิลด์คัพ เพราะคริสเตียน วิเอรี่ ดาวยิงของโมนาโกในตอนนั้นโชคร้ายได้รับบาดเจ็บที่เข่าซ้าย หายไม่ทัน

แม้จะยิงได้ประตูเดียวทั้งทัวร์นาเม้นต์ลูกหนังโลก ในเกมรอบแรกที่อิตาลีเอาชนะสาธารณรัฐเชกไป 2-0 แต่ก็มีส่วนสำคัญต่อการช่วยให้ทัพอัซซูรี่ผงาดคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกไปครองอย่างยิ่งใหญ่

อินซากี้ยังไม่หยุดอยู่แค่นั้น จากฮีโร่เวิลด์คัพ เขายังเป็นฮีโร่ผู้ยิง 2 ประตูชัยให้มิลานชนะลิเวอร์พูล 2-1 ในนัดชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ฤดูกาล 2006-07 ด้วย

ทุกวันนี้ ปิ๊ปโป้ ในวัย 36 ปี ยังคงเป็นตัวทีเด็ดของมิลาน แม้จำนวนนัดในการออกสตาร์ทเป็นตัวจริงจะลดลง เมื่อสัปดาห์ก่อนเขาเพิ่งประกาศศักดา ซัดแฮตทริกช่วยให้ทีมปีศาจแดงดำชนะอตาลันต้า 3-0

เท่านั้นไม่พอ เขายังเพิ่งจะเหมากดสองตุง ยิงประตูที่ 300 ในชีวิตค้าแข้ง ช่วยให้เอซี มิลาน ถล่มเซียน่าเละ 5-1 มาหมาดๆ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 15 มี.ค.ที่ผ่านมานี่เอง

แม้จะเคยเสเพลมามาก แต่เขาไม่เคยทำให้กระทบต่อหน้าที่การงาน แตกต่างจากโบโบ้ วิเอรี่ คู่ซี้นอกสนามที่จนป่านนี้ยังไม่อาจเรียกฟอร์มสุดยอดกลับมาได้

อินซากี้บอกว่าเขาเหมือนกลับไปเป็นเด็กหนุ่มอีกครั้งหลังจากเพิ่งโชว์ฟอร์มร้อนแรง แต่หัวหอกจอมเก๋าเผยเคล็ดลับว่าสิ่งสำคัญที่หนุนหลังให้เขาเดินมาไกลจนวันนี้ก็คือ ผู้หญิง 2 คนที่มีความหมายมากที่สุดในชีวิต

คนแรกคือ แม่ของเขา และอีกคนคือ อเลสเซีย เวนตูร่า โชว์เกิร์ลรายการทีวี และดาราหุ่นเซ็กซี่ แฟนสาวคนสวยของเขานั่นเอง

นอกจากจะขยันทุ่มเท เป็นมืออาชีพ และมีสปิริตสูงแล้ว สาวสวยยังเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เจ้ากุ้งยังเดินหน้าล่าตาข่ายไม่หยุดจนถึงทุกวันนี้...เป็นเคล็ดที่ไม่ลับ ที่กองหน้าคนไหนจะเอาเป็นแบบอย่างก็ได้

ขอขอบคุณ MSN ฟุตบอล

วันพฤหัสบดีที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2552

อาร์เซนอล vs. วิลล่า


ผ่านมาถึงช่วงใกล้โค้งสุดท้ายของฤดูกาล หนึ่งในศึกที่น่าจับตามองที่สุดคือการปะทะกันระหว่างทีมไฟแรงที่อยากจะแทรกตัวเข้ามาเป็นท็อปโฟร์เหลือเกินอย่างแอสตัน วิลล่า กับเจ้าของพื้นที่เดิมอย่างอาร์เซนอล

การขับเคี่ยวของสองทีมนี้ที่ผ่านมาเป็นไปไม่ถึงกับดุเดือดหรือร้อนแรงนัก เพราะฝ่ายหนึ่งทำท่าเหมือนจะหมดลมหายใจ ขณะที่อีกฝ่ายก็ดีวันดีคืน

แต่สถานการณ์ตอนนี้กำลังจะพลิกกลับตาลปัตร

"สิงห์ผยอง" ของมาร์ติน โอนีล เริ่มมีอาการอ่อนล้าอย่างเห็นได้ชัดในระยะหลัง ผลงานเริ่มตกลงอย่างชัดเจนไม่ว่าจะเป็นในบอลลีกหรือบอลถ้วย

ขนาดยอมโยนถ้วยยูฟ่า คัพ ไปแล้วก็ยังไม่วายผลงานสะดุดจนโดนกันเนอร์ส เอาปืนมาจ่อคอยหอเพราะระยะห่างเวลานี้เหลือแค่ 3 แต้มเท่านั้น

ปัจจัยหนึ่งที่มีผลอย่างไม่ต้องสงสัยคือเรื่องของประสบการณ์ร่วมของสโมสรที่กำลังจะเป็น "ตัวแปร" สำคัญ ซึ่งเรื่องนี้เองที่อาร์เซนอล เหนือกว่า

แอสตัน วิลล่า แทบไม่เคยได้ลุ้นความสำเร็จใดๆเลยนับตั้งแต่สิ้นยุคทองที่เคยคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ ได้เมื่อปี 1982 ตรงข้ามกับอาร์เซนอล ที่เคยขึ้นแท่นเป็นทีมหมายเลขหนึ่งและมีโอกาสลุ้นแชมป์เกือบตลอดทุกปี จนกระทั่งเริ่มมาตกลงในช่วงที่สิ้นยุคของปาทริก วิเอร่า, เธียร์รี่ อองรี, โรแบร์ ปิแรส

อาร์แซน เวนเกอร์ ยึดมั่นในผู้เล่นอายุน้อยที่เปี่ยมด้วยพรสวรรค์ ยึดมั่นในอุดมการณ์ที่จะสร้างทีมในฝันที่เต็มไปด้วยเพชรเม็ดงามของวงการที่จะผ่านการเจียระไนมาพร้อมๆกัน เพื่อที่จะได้เติบโตพร้อมกันและผูกพันกับสโมสรไปตลอด เสมือนเป็นเด็กฝึกหัดของสโมสร

เซสก์ ฟาเบรกาส เป็นกรณีตัวอย่างที่ชัดเจนในเรื่องนี้

แต่ถึงจะเป็นทีมที่เต็มไปด้วยดาวรุ่ง ซึ่งอ่อนและเปราะบางไม่น้อย อาร์เซนอล ของเวนเกอร์ ก็ยังคงประคับประคองทำผลงานได้ดีมาโดยตลอด ยิ่งในฤดูกาลนี้แม้จะเจอช่วงวิกฤติมากมายจนบางช่วงแทบจะนอนแผ่ด้วยความหมดอาลัยตายอยาก

กันเนอร์ส พิสูจน์ให้เห็นอีกครั้งว่าพวกเขาตายยาก - ถึงยากมาก

ในเวลาที่วิลล่า เริ่มหายใจรวยริน อาร์เซนอล ก็เริ่มเร่งฝีเท้าขึ้นเพื่อจี้ติด กระชั้นชิด และมีปัจจัยบวกเข้ามาหนุนเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเกมรับที่เหนียวแน่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ขณะที่แนวรุกก็เริ่มมีสีสันกลับมา ไม่ว่าจะเป็นสีใหม่ที่จัดจ้านอย่างอาร์ชาวิน หรือสีที่ผูกพันแฟนๆคิดถึงอย่างเอดูอาร์โด้ ดา ซิลวา และธีโอ วัลค็อตต์

ปัญหา "ปืนฝืด" ไม่น่าจะเกิดขึ้นซ้ำอีกในช่วงที่เหลือของฤดูกาล เมื่อกลุ่มแนวรุกชุดนี้กลับมา ผสานกำลังกับชุดเดิมที่แบกรับหน้าที่มาตลอดไม่ว่าจะเป็นโรบิน ฟาน เพอร์ซี่ หรือนิคลาส เบนดท์เนอร์ และเอ็มมานูเอล อเดบายอร์

อย่าลืมว่าคนที่เก่งที่สุดและสำคัญที่สุดอย่าง เซสก์ ยังไม่ได้คืนสนามด้วยซ้ำ

แต่ถึงพูดแบบนี้มันแปลว่าอาร์เซนอล จะแซงเข้าวินง่ายๆหรือเปล่า?

ก็ไม่เชิง

คนที่จะตอบโจทย์เรื่องนี้คือมาร์ติน โอนีล และลูกทีมทีจะต้องพยายามเร่งทำผลงานให้ดีอีกครั้งให้ได้ โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่มีโปรแกรมหนักทั้งกับ แมนฯ ยูไนเต็ด และลิเวอร์พูล รออยู่ รวมถึงทีมระดับเดียวกันอย่างเอฟเวอร์ตัน

อย่างน้อยที่สุดก็ต้องประคับประคองตัวเองให้รอดช่วงนี้ไปก่อน โดยเสาหลักอย่างแกเร็ธ แบร์รี่ จะต้องคอยค้ำน้องๆในทีมให้ได้ทั้งหมด แล้วไปหวังเอาว่าคู่มหาประลัยอย่างแอชลี่ย์ ยัง และกาเบรียล อักบอนลาฮอร์ จะระลึกได้ว่าช่วงฟอร์มเทพนั้นพวกเขาเล่นกันได้น่ากลัวขนาดไหน

ถ้าประคองให้พ้นช่วงวิกฤตินี้ได้ โดยที่อาจจะโดนแซงหรือไม่ก็ตามแต่ระยะห่างไม่เกิน 4-5 แต้ม แอสตัน วิลล่า จะมีโอกาส เพราะตามโปรแกรมที่เหลือแล้ว อาร์เซนอล เจองานหนักไม่น้อยในช่วงโค้งสุดท้ายของฤดูกาล

โปรแกรมปะทะกับบิ๊กโฟร์ไม่ว่าจะเป็นลิเวอร์พูล (เยือน), เชลซี (เหย้า) และแมนฯ ยูไนเต็ด (เยือน) ในเกมรองสุดท้ายของฤดูกาลยังรออยู่

มันเป็นไปได้ที่อาร์เซนอล จะชนะรวดทุกนัดที่ว่า แต่ที่เป็นไปได้เช่นกันคือพวกเขาก็มีโอกาสทำแต้มหล่นทุกนัดที่ว่า

นั่นหมายถึง 1-9 แต้มที่อาจจะหายไป เป็นช่วงคะแนนที่เยอะและส่งผลต่ออันดับในฤดูกาลได้สบาย

คิดในแง่นี้จะพบว่าศึกอันดับ 4 คงต้องมองกันยาวๆมากกว่าจะพูดกันในระยะสั้น

12 นัดที่เหลือของฤดูกาล ยังมีอะไรเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ซึ่งหวังว่าเราคงจะได้ดูการต่อสู้กันที่สนุกระหว่างทีมหนึ่งที่พยายามจะฉีกบันทึกเดิมและเขียนประวัติศาสตร์ลงไปใหม่ในเรื่องของคำว่า "บิ๊กโฟร์"

กับอีกทีมที่อยู่ในสถานะนี้มานานจนเกิดการยึดติดและไม่อยากสูญเสีย

ขอขอบคุณ MSN ฟุตบอล

เรอัล และข้อห้าม 7 ประการสู่แชมป์


ตอนนี้ ลีกชั้นนำในยุโรปกำลังเข้มข้น เพราะมีการต่อสู้แย่งชิงแชมป์กันอย่างสูสี จ่าฝูงแต่ละลีกต่างพร้อมใจกันสะดุด ปล่อยให้ทีมอันดับสองไล่จี้เข้ามารดต้นคอ โดยเฉพาะลาลีกา สเปน


แรกเริ่มเดิมที เรอัล มาดริดมีคะแนนตามหลังบาร์เซโลน่า 12 คะแนนด้วยซ้ำ แต่นับจากที่บาร์ซ่าเก็บได้แค่ 1 คะแนนจากการลงเล่น 3 นัด พวกเขาก็เร่งสปีดตัวเองจนแต้มห่างเหลือแค่ 4 คะแนนเท่านั้น!

ชุดขาวภายใต้การคุมทีมของฆวนเด้ รามอส ชนะรวดในลาลีกามา 10 นัด พวกเขากำลังเดินหน้าด้วยความมั่นใจ ขณะที่บาร์ซ่าดูจะสะดุดยาว เพราะไม่ชนะในรายการใดมา 5 เกมรวด

ดังนั้นใครที่กาชื่อของชุดขาวออกจากสารบบการลุ้นแชมป์ลีกกระทิงไปตั้งแต่เนิ่นๆ คงรีบกลับตัวแทบไม่ทัน และใครที่เคยเชื่อว่า บาร์เซโลน่า คือยอดทีมไร้พ่ายก็ต้องเปลี่ยนความคิดเสียแล้ว

อย่างไรก็ดี หากทีมเลือดหมูน้ำเงินฟื้นตัวเร็ว พวกเขาก็ยังคงเป็นทีมที่น่ากลัวเช่นเดิม แต่สำหรับมหาอำนาจที่กระหายในความสำเร็จอย่างเรอัล มาดริด ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ แน่

โอกาสที่เรอัล มาดริด จะลุ้นแชมป์ลาลีกายังพอมี แต่พวกเขาต้องห้ามทำผิดกฎบัญญัติ 7 ข้อต่อไปนี้เท่านั้น!

1) ทำแต้มหล่นหายในดาร์บี้แมตช์
13 เกมที่เหลือของฤดูกาลนี้ เรอัล เริ่มต้นด้วยบิ๊กแมตช์อย่างเอล ดาร์บี้ ประจำเมืองหลวงกับแอตเลติโก มาดริด ในช่วงปีที่ผ่านๆ มาชุดขาวผูกปีชนะหมีได้ทั้งเหย้าและเยือน ดังนั้นพวกเขาควรจะเก็บ 3 แต้มให้ได้จากแมตช์นี้

แต่หนนี้อะไรๆ กลับไม่ง่ายดาย เพราะหมีตัวนี้กำลังมั่นใจสุดขีด หลังจากที่ฟอร์มกระเตื้องขึ้นมา โดยเฉพาะเกมล่าสุดที่พลิกขยี้บาร์เซโลน่า 4-3 เมื่อสัปดาห์ก่อน แถมเซร์คิโอ "กุน" อเกวโร่ และดิเอโก้ ฟอร์ลัน ก็กำลังแรงเสียด้วย ฆวนเด้ รามอส จึงต้องไปกวดขันลูกทีมให้ระวัง และอย่าทำแต้มหลุดหายในเกมนี้

2) สูญเสียดิยาร์ร่า
ใครจะเจ็บหรือเป็นอะไรไป ยังไม่เสียหายเท่าลาสซาน่า ดิยาร์ร่า กองกลางเฟร้นช์แมน ที่เพิ่งย้ายมาเมื่อมกราคมที่ผ่านมา นอกจากจะเป็นการเซ็นสัญญาที่ดีที่สุดของชุดขาวแล้ว เขายังเป็นทุกอย่างในแดนกลางของทีม

นอกจากจังหวะเปิดบอลแม่นยำแล้ว ลาสยังสร้างสมดุลทั้งเกมรับและรุกให้ชุดขาว ซี่งเป็นสิ่งที่มาฮามาดู ดิยาร์ร่า และรูเบน เด ลา เร้ด ไม่เคยเข้าใจ ตอนนี้ถือว่าลาสกลายเป็นจุดแข็งของทีม

เรอัล มาดริดชนะได้โดยไม่มี อาร์เยน ร็อบเบน แต่สิ่งที่พวกเขาต้องเลี่ยงคือช่วยภาวนาอย่าให้ลาสต้องเป็นอะไรไปเลย



3) ฟลอเรนติโน่
ต้องลดๆ การพูดถึง ฟลอเรนติโน่ เปเรซ ว่าที่ประธานคนใหม่ของชุดขาวที่จะมีการเลือกตั้งในซัมเมอร์นี้ รวมทั้งแผนการปฏิวัติซื้อซูเปอร์สตาร์ หรือเปลี่ยนโค้ชใหม่ เพราะนั่นจะยิ่งทำให้บั่นทอนกำลังใจของฆวนเด้ รามอส กุนซือที่กำลังทำผลงานยอดเยี่ยมอยู่

และยังอาจทำลายขวัญของนักเตะที่กำลังพยายามเต็มที่ และมีความมั่นใจ เพราะตราบใดที่ชื่อของพวกเขาติดอยู่ในกลุ่มที่จะโดนเปเรซโละ พวกเขาอาจหมดพลังเอาดื้อๆ ทางที่ดีมาช่วยกันเชิดชูความเจ๋งของพวกดีกว่า


4) ราฟา โรเทชั่น
แล้วนี่มันเกี่ยวอะไรด้วย แต่เป็นข้อเสนอแนะสำหรับฆวนเด้ รามอส กุนซือชุดขาวว่าถ้าอยากจะรักษาความต่อเนื่องในลาลีกา และอยากจะไปต่อในแชมเปี้ยนส์ลีก เขาก็ต้องไม่บ้าจี้หมุนเวียนผู้เล่นตามแบบราฟาเอล เบนิเตซ

ทางที่ดีคือยึด 11 ตัวจริงที่เขาไว้วางใจและทำผลงานที่ดีเยี่ยมในตอนนี้ ตัวหลักๆ ที่สามารถพักได้ก็คือ ราอูล, ฟาบิโอ คันนวาโร่ , กูตี, อาร์เยน ร็อบเบน และบางทีอาจรวมถึงกอนซาโล่ อิกัวอินด้วย

ขณะที่ผู้เล่นซึ่งหมดความมั่นใจ และไม่ได้ลงต่อเนื่องอย่าง ฮาเวียร์ ซาวิโอล่า, ฆาบี การ์เซีย, มิเชล ซัลกาโด้ รวมทั้งรอยสตัน เดรนเธ่ ไม่ควรถูกส่งลงเล่นเกมที่มีความสำคัญ หรือช่วงเวลาชี้เป็นชี้ตาย นอกเสียจากเลี่ยงไม่ได้

นอกจากนี้ฆวนเด้ต้องสั่งลูกทีมให้ลงเล่นทุกเกม เหมือนเป็นนัดชิงชนะเลิศ



5) แพ้เอล กลาซิโก
รามอสเริ่มงานคุมทีมในลาลีกานัดแรกด้วยการไปเยือนกัมป์นู แม้จะยันเสมอมาได้ 80 นาที แต่ช่วงท้ายเกมก็ล้าจนโดนเจาะ 2 ตุง ซึ่งทำให้ตอนนั้นทีมเลือดหมูน้ำเงินหนีห่าง 12 แต้ม

แต่ตอนนี้ไอ้ 12 แต้มนั้นหดลงเหลือแค่ 4 แล้ว มาดริดมีโอกาสจะพลิกผันสถานการณ์โดยมีข้อแม้ห้ามแพ้ในนัดนี้ เสมอได้เป็นอย่างน้อย

เพราะฉะนั้นเกมนี้ต้องเน้นให้มาก อย่าพยายามเสี่ยงเพราะแกนรุกของบาร์ซ่าตอนนี้ถือว่ามีประสิทธิภาพเหนือกว่า นอกจากจะต้องเอาให้อยู่แล้ว เรอัลก็ต้องฉวยทุกโอกาสที่มีให้ได้ด้วย


6) อุดแหลก
บางครั้งการนั่งดูเรอัล มาดริดของรามอสเล่น อาจสร้างความอึดอัดและไม่ถูกใจเนื่องจากเห็นพวกเขาอุด อุด แล้วก็อุด นับประสาอะไรกับแฟนๆ ของพวกเขาเองที่ยังโห่ใส่แข้งทีมรัก ที่มัวแต่ยืนเฝ้าหลังบ้านกันแน่น

อันที่จริงแนวรับคือหัวใจสำคัญเช่นกันของชัยชนะ แต่หากมีจุดที่ผิดพลาดแล้วคุณเสียประตูที่แสนเสียหาย เหมือนเกมชปล.รอบ 16 ทีมนัดแรกกับลิเวอร์พูล ก็คงคิดได้ว่าต้องกลับมาบุกบ้างแล้ว

ใครๆ ก็รักเรอัลที่เดินหน้าลุยด้วยความมั่นใจในเกมที่ถล่มเรอัล เบติส 6-1 แต่เกมล่าสุดที่เฉือนชนะเอสปันญ่อล พวกเขาก็ทำให้แฟนๆ ต้องเซ็งในครึ่งแรก ที่มัวแต่ระแวดระวังจนเกินเหตุ

ยังดีที่ครึ่งหลังกล้าที่จะเดินหน้ามากขึ้นเลยชนะไปได้ 2-0 เพราะฉะนั้นต่อให้แนวรับสำคัญแค่ไหน แต่ถ้าไม่คิดจะบุกเลย มันจะไปชนะได้ไง


7) ยึดมั่นในราอูล
ราอูลกลับมายิงประตูถล่มทลายเหมือนสมัยยังวัยละอ่อนในช่วงต้นปีจนทำลายสถิติดาวซัลโวของสโมสรได้ แต่เมื่อหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เพชฌฆาตหน้าหยกชักแผ่ว และหายไปจากเกมเสียแล้ว นั่นเพราะถูกใช้งานมากเกินไปในขณะที่วัยก็ล่วงเลยมามาก

ฆวนเด้ รามอส ต้องกล้าๆ ที่จะเปลี่ยนตัวเขาออก หรือปรับใช้กองหน้าคนอื่นๆ ที่มี ทั้งคลาส แยน ฮุนเตลาร์ และกอนซาโล่ อิกัวอิน หรือสามารถสอดตัวรุกดีๆ อย่างเวสลีย์ สไนจ์เดอร์ และราฟาเอล ฟาน เดอร์ ฟาร์ท ลงไปช่วยขับเคลื่อนแดนกลางแทนได้

แม้ไม่ควรมองข้ามศักยภาพของราอูล แต่ขอแค่กล้าๆ เปลี่ยนแปลงหรือถอดเขาบ้างหากเล่นไม่ออกจริงๆ ให้น้าแกได้พักบ้างเถอะ

ขอขอบคุณMSN ฟุตบอล

วันพุธที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2552

ฟุตบอลโฉมใหม่

ฟุตบอลเป็นกีฬาเก่าแก่มีประวัติยาวนาน หลายชาติอ้างประวัติศาสตร์ยุคโบราณว่า เป็นต้นกำเนิดของเกมลูกหนัง แต่ที่แน่ๆฟุตบอลสมัยใหม่ที่มีกฎกติกาชัดเจนมีจุดเริ่มต้นมาจาก “เมืองผู้ดี” อังกฤษ

ย้อนไปเมื่อปี ค.ศ. 1848 หรือ 161 ปีมาแล้ว มีกลุ่มคนบ้าบอลนัดประชุมกันที่ ร.ร.เอกชนแห่งหนึ่งในเมืองเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ

คนกลุ่มนี้ช่วยกันร่างกติกาฟุตบอลที่เป็นรากฐานของฟุตบอลในปัจจุบัน หลังจากการประชุมครั้งนั้น 15 ปี (ค.ศ. 1863) ก็มีการก่อตั้งสมาคมฟุตบอลอังกฤษ (เอฟเอ) มีกติกาใช้อย่างเป็นทางการ 14 ข้อ

เกมฟุตบอลค่อนข้างอนุรักษนิยม ไม่ค่อยมีการเปลี่ยนกฎไปจากเดิมมากนัก และเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา อาจเป็นวันที่ต้องจารึกในประวัติศาสตร์ลูกหนังอีกครั้งว่า มีการเปลี่ยนกติกาใหม่ในบางข้อ

คณะกรรมการบริหารสมาคมฟุตบอลนานาชาติ (International Football Association Board) ที่มีตัวย่อว่า IFAB จัดประชุมที่เบลฟาสต์ ในไอร์แลนด์เหนือ เพื่อหาข้อสรุปเรื่องกติกาใหม่ที่จะนำมาใช้

IFAB เป็นองค์กรเก่าแก่องค์กรหนึ่งของวงการฟุตบอล ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1886 สมาชิกประกอบด้วย สมาคมฟุตบอลจากสหราชอาณาจักร (อังกฤษ, สกอตแลนด์, เวลส์, ไอร์แลนด์เหนือ) และฟีฟ่า

สมาคมฟุตบอลสหราชอาณาจักรทั้ง 4 ชาติ มีสิทธิ์ออกเสียงชาติละ 1 เสียง ส่วนฟีฟ่าก็มี 4 เสียงเช่นกัน คัดตัวแทนมาจากชาติสมาชิกฟีฟ่า 204 ชาติ การเปลี่ยนแปลงกฎกติกาใดๆ จะต้องมีเสียงรับรอง 3 ใน 4

และเป็นที่น่ายินดีว่า ไทยเราก็มีตัวแทนไปนั่งประชุม มีสิทธิ์ออกเสียงในการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ ลูกหนังกับเขาด้วย

ตอนนี้ “บังยี” วรวีร์ มะกูดี นายกสมาคมฟุตบอลของไทย และกรรมการบริหารฟีฟ่าอยู่ที่เบลฟาสต์ ในฐานะตัวแทนจากฟีฟ่าที่เป็นบอร์ดของ IFAB

เรื่องที่จะนำมาพิจารณากันก็คือ การเพิ่มไลน์แมนเพื่อช่วยเป็นหูเป็นตาให้กรรมการบริเวณหลังประตู เพื่อดูเหตุการณ์ในกรอบเขตโทษว่า มีการทำฟาวล์หรือพุ่งล้มอย่างไรบ้าง รวมทั้งลูกปัญหาข้ามเส้นประตูไปหรือยัง

เซปป์ แบลตเตอร์ ประธานฟีฟ่า และมิเชล พลาตินี ประธานยูฟ่า เห็นดีเห็นงามกับกรณีนี้ โดยปฏิเสธการใช้วีดิโอมาช่วยตัดสิน เพราะจะทำให้เกมหยุดชะงัก ขาดความต่อเนื่อง

ยูฟ่าทดลองใช้ไลน์แมนเพิ่มเติมในทัวร์นาเมนต์ ระดับเยาวชน และเกมทีมชาติในสโลวีเนีย, ไซปรัส และฮังการี มาแล้ว และจะนำเสนอรายงานต่อที่ประชุมอีกครั้งเพื่อประกอบการพิจารณา

กติกาต่อมา “sin-bin” ที่ใช้กันอยู่ในกีฬารักบี้ นักเตะคนไหนได้ใบเหลือง จะต้องออกจากสนามไปนั่งพักตามระยะเวลาที่กำหนด ข้อนี้เสนอโดยสมาคมฟุตบอลไอริช (ไอร์แลนด์เหนือ)

สมาคมฟุตบอลสกอตแลนด์เสนอให้มีการเปลี่ยน ตัวเพิ่มจากเดิม 3 คน เป็น 4 คน ในกรณีที่มีการต่อเวลา

นอกจากนี้จะมีการหารือเรื่องเพิ่มเวลาพักครึ่งจากเดิม 15 นาที เป็น 20 นาที ด้วยเหตุผลให้นักเตะและกรรมการได้พักมากขึ้น แต่ก็มีเสียงวิจารณ์ว่า แรงจูงใจน่าจะมาจากการเพิ่มเวลาโฆษณาในการถ่ายทอดสดมากกว่า

และประการสุดท้าย กฎล้ำหน้า หลังจากมีปัญหาที่ยูโร 2008 ในเกมระหว่างฮอลแลนด์ กับอิตาลี ซึ่งนัดนั้นอัศวินสีส้มชนะ 3-0

รุด ฟาน นิสเตลรอย ยิงประตูแรกให้ฮอลแลนด์ ในตำแหน่งล้ำหน้า ขณะที่คริสเตียน ปานุชชี กองหลังตัวสุดท้ายของอิตาลียืนอยู่นอกสนาม (เส้นหลัง) แต่ผู้ ตัดสินปีเตอร์ ฟรอดเฟลด์ท เป่าให้ดัตช์ได้ประตู

ช่วงแรกกรรมการถูกตำหนิอย่างหนักว่าตัดสินผิดพลาด แต่ภายหลังได้รับการยอมรับว่า ตัดสินถูกต้องแล้ว สิ่งที่ IFAB จะเพิ่มเติมเข้าก็คือ คำอธิบายที่ชัดเจนขึ้นในกติกาเพื่อขจัดความสงสัยให้หมดไป

คำอธิบายกติกาเพิ่มเติมก็คือ ผู้เล่นฝ่ายรับที่ออกนอกสนามด้วยเหตุผลใดก็ตามโดยไม่ได้รับอนุญาตจากกรรมการ ให้ถือว่า ยืนอยู่บนเส้นหลังหรือเส้นข้าง ในกรณีที่มีการพิจารณาลูกล้ำหน้า หรืออีกนัยหนึ่ง ยังมีส่วนร่วมกับเกมนั่นเอง

IFAB หยิบยกกติกาใหม่มาหารือกันเมื่อ 28 ก.พ. ส่วนจะได้ข้อสรุปอย่างไร ติดตามจากรายงานข่าวต่อไปนะครับ.

ขอขอบคุณหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

หงส์หมดลุ้นเพราะราฟา


เกมพรีเมียร์ลีกเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา สร้างความยินดีปรีดา และความผิดหวังให้กองเชียร์ แต่ละทีมคละเคล้ากันไป

โดยเฉพาะแฟนแมนฯยู ได้เฮชนิดที่ทีมตัวเองไม่มีคิวลงแข่งด้วยซ้ำหลังจาก “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล พลาดท่าปราชัยต่อมิดเดิลสโบรช์ 0-2

ขณะที่อาร์เซนอล กระสุนด้านเจ๊าเป็นนัดที่ 5 ติดต่อกันในลีก และเป็นการเสมอด้วยสกอร์ 0-0 สี่นัดรวด

ส่วนเชลซีเริ่มคงเส้นคงวามากขึ้นตั้งแต่กุส ฮิดดิงค์ เข้ามาคุมทีม ชนะทั้ง 3 นัดในพรีเมียร์ลีกและแชมเปียนส์ลีก

แฟนเชลซีเริ่มกลับมามีความหวังอีกครั้ง แม้ จะไม่กล้าหวังถึงแชมป์ แต่ผลการแข่งขันที่ปรากฏช่วยสร้างความมั่นใจได้ไม่น้อย


เชลซีอาจจะชนฉิวเฉียดแค่ลูกเดียว (วิลลา 1-0, ยูเวนตุส 1-0 และวีแกน 2-1) แต่แสดงให้เห็นถึงคืนวันเก่าๆที่มีลูกฮึด รักษาสกอร์ที่ขึ้นนำไว้ได้ ฟอร์มอาจจะไม่แจ่มนัก แต่สุดท้ายก็คว้าชัยได้ตามต้องการ


เครียดที่สุดเป็นของกองเชียร์อาร์เซนอล อาร์แซน เวงเกอร์ ยอมรับหลังจากเสมอฟูแลมในบ้านตัวเอง 0-0 ว่า กลัวปิ๋วโควตาแชมเปียนส์ลีก


แอสตัน วิลลา เตะกับสโต๊ก ในวันอาทิตย์ ถ้าเก็บ 3 แต้มได้ก็จะฉีกหนีปืนใหญ่ 8 แต้มทันที


ห่วงหน้ายังไม่พอ อาร์เซนอลยังต้องพะวงหลังกับการไล่จี้ของ “ทอฟฟี่” เอฟเวอร์ตัน ที่ตามมาเหลือห่าง 2 แต้มอีกด้วย


เวงเกอร์คงต้องยอมรับเสียทีว่า ทีมของเขายังไม่ดีพอ เด็กเกินไป กระดูกยังอ่อน ที่ภูมิใจว่า เป็นทีมสร้างเด็กที่โดดเด่นที่สุดในยุโรปนั้น จะมีความหมายอะไรหากผลงานในสนามย่ำแย่

เวงเกอร์มั่นใจว่า รอเวลาให้ดาวรุ่งเหล่านี้เล่นด้วยกัน 3-4 ปี จะสุดยอดขึ้นตามวัยประสบการณ์ ก็ต้องถามกองเชียร์ว่า รอไหวหรือไม่


เสียงโห่หลังจบเกมที่เสมอกับทีมรองบ่อนอย่างซันเดอร์แลนด์และฟูแลมใน 2 นัดล่าสุดเป็นคำตอบได้เป็นอย่างดี

ส่วนลิเวอร์พูลมีเรื่องให้พูดถึงมากกว่าใคร หลังจากมีเหตุการณ์พลิกผันวันต่อวันมาตลอดสัปดาห์

ก่อนเตะกับเรอัล มาดริด มีข่าวว่า ราฟาเอล เบนิเตซ อยู่ไม่ยืดแน่ แต่เมื่อเขานำทีมบุกไปชนะราชันชุดขาว สามารถสยบข่าวลือนั้นได้ทันที

วันต่อมา ริค แพร์รี ซีอีโอหงส์แดงซึ่งเป็นแฟนบอลตัวยงของสโมสร ประกาศลาออกเมื่อจบซีซั่น หลังจากทำงานกับลิเวอร์พูลมา 12 ปี

แม้ราฟาจะปฏิเสธว่า เขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการบีบให้แพร์รีลงจากตำแหน่ง แต่ผู้คนในวงการรับรู้กันมาตลอดว่า ทั้งคู่ทำงานไม่เข้าขากัน

เมื่อแพร์รียอมเป็นฝ่ายถอย เชื่อว่า สัญญาฉบับใหม่ของราฟาน่าจะจบง่ายกว่าเดิม

แต่แล้วกุนซือชาวสเปนก็ทำให้แฟนบอลข้องใจในความสามารถของเขาอีกครั้ง แน่นอนว่า เกมยุโรปราฟาไม่เป็นรองใคร ทำผลงานใน พรีเมียร์ลีกน่าผิดหวังเมื่อใด แชมเปียนส์ลีกช่วยให้เขารอดตัวมาตลอด

ชนะมาดริดมาไม่ทันไร กลับมาในลีกแพ้โบโร่ ทำแต้มหล่นหายอีกแล้ว การจัดตัววางตำแหน่งผู้เล่นขัดใจผู้ชมอย่างยิ่ง

จะอ้างว่า ล้ามาจากแชมเปียนส์ลีกก็ไม่สมเหตุ สมผล เพราะโบโร่ก็เพิ่งเตะเอฟเอคัพกลางสัปดาห์มาเหมือนกัน

ทำไมนักเตะลิเวอร์พูลถึงหน่อมแน้ม ดูอ่อนแอกว่าคู่แข่ง เป็นเพราะราฟาคิดไปเองหรือเปล่า จะส่งทีมที่ดีที่สุดก็ต่อเมื่อเป็นบิ๊กแมตช์จริงๆเท่านั้น

เจอร์ราร์ดไม่สมบูรณ์ ตอร์เรสยังเจ็บอยู่พอเข้าใจได้ แต่คนที่กำลังฟอร์มสดอย่างยอสซี เบนายูน กลับไม่ได้เล่นตั้งแต่ต้นเกม มาร์ติน สเคอร์เทล ถูกจับมาเล่นแบ็กขวาผิดธรรมชาติ ถูกสจ๊วร์ต ดาวนิง เจาะสบายๆ

สไตล์การทำทีมแบบกลัวเกินเหตุของเขามีส่วนสำคัญที่ทำให้ความหวังในการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ ลีกดับวูบลงไป

แฟนหงส์เหนื่อยใจกับผู้จัดการทีม แต่ ได้ยินมาเยอะนะครับว่า แฟนแมนฯยูปลื้มราฟามาก อยากให้ต่อสัญญาอยู่กับลิเวอร์พูลไปยาวๆยิ่งดี.

ขอขอบคุณหนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ