พรีเมียร์ลีกเปิดฤดูกาลมาได้ 2 สัปดาห์ นอกเหนือจาก 3 ทีมที่เป็นกลุ่มลุ้นแชมป์โดยมาตรฐานอยู่แล้วอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด, เชลซี และลิเวอร์พูล อีก 2 ทีมที่อยู่ในข่ายไม่แตกต่างกันคือ อาร์เซนอล กับ แมนฯ ซิตี้ ที่เวลานี้ต่างก็ทำผลงานได้น่าประทับใจทั้งคู่
ทั้งสองทีมชนะรวดใน 2 เกมแรก ด้วยผลงานที่ค่อนข้างน่าประทับใจและคงจะไม่ว่าอะไรถ้าจะบอกว่ารู้สึกผิดความคาดหมายไปเยอะเหมือนกัน
สำหรับอาร์เซนอล การเสียเอ็มมานูเอล อเดบายอร์ กับโคโล ตูเร่ ไป (ก็ขายให้กับแมนฯ ซิตี้นี่แหละ) ทำให้หลายคนแสดงความกังวลถึงอนาคตของทีมกันเนอร์ส เนื่องจากทั้งอเดบายอร์ และตูเร่ นั้น จะดีจะชั่วก็ถือเป็นตัวหลักของทีมที่ดูดีกว่าดาวรุ่งที่ อาร์แซน เวนเกอร์ พยายามจะปั้น
ขณะที่ แมนฯ ซิตี้ การทุ่มเงินกว้านซื้อสตาร์เข้ามาเกือบครบยกทีมในระยะเวลาแค่ปีเศษๆ ทำให้พวกเขาถูกปรามาสว่าบางทีอาจกลายเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำหรือเปล่า เพราะมันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะซื้อดาวหลายๆดวงมาสุมๆกันแล้วจะหวังให้มันเปล่งประกายเจิดจ้า
อย่างไรก็ดีเท่าที่มองดูใน 2 สัปดาห์แรก ต้องยอมรับว่าไม่ว่าจะเป็น "ปืนใหญ่" หรือ "เรือใบ" ก็ทำให้แฟนบอลชื่นใจได้ทั้งคู่
แม้แนวทางการทำทีมของสองทีมนี้จะแตกต่างกันอย่างสุดขั้วเลยก็ตาม
อาร์เซนอล อย่างที่ทราบว่า เวนเกอร์ ใช้นโยบายในการบริหารจัดการทีมโดยเน้นการปั้นดาวรุ่งเป็นหลัก และซื้อผู้เล่นเข้ามาเสริมทีมเท่าที่มีความจำเป็น
กล่าวคือการซื้อตัวของเวนเกอร์นั้นจะต้องผ่านการคิดแล้วคิดอีก โดยที่หากรู้สึกว่านักเตะคนนั้นมีความจำเป็นต่อทีมจริงๆก็จะพยายามตื้อเอามาร่วมทีมให้ได้และมีเงื่อนไขว่าค่าตัวในการซื้อจะต้องไม่แพงจนเกินจากความเป็นจริง แม้ว่าจะต้องใช้ความพยายามในการเจรจาต่อรองมากหน่อยก็ตาม
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือกรณีของ อังเดร อาร์ชาวิน ที่เจรจาต่อรองกันนานร่วมเดือนและในที่สุดก็ประสบความสำเร็จคว้ายอดนักเตะรัสเซีย มาร่วมทีมจนได้และกลายเป็นตัวหลักของทีมไปแล้วในเวลานี้
อีกตัวอย่างที่ชัดเจนคือกรณีของ มารูยาน ชามัค ศูนย์หน้าชาวโมร็อคโก จากทีมบอร์กโดซ์ ที่แม้เวนเกอร์ จะยอมรับว่าชื่นชอบในฝีเท้าและอยากได้มาร่วมทีม แต่เมื่อถูกโก่งค่าตัวจนเกินความจำเป็นไป นายใหญ่ชาวฝรั่งเศสเองก็พร้อมที่จะผละออกมาจากวงเจรจา ทิ้งให้นักเตะและสโมสรคู่เจรจากินแห้วไป
ด้วยแนวทางนี้ทำให้เวนเกอร์ ซื้อตัวนักเตะได้ยากและได้ในจำนวนน้อยเต็มที โดยฤดูกาลนี้มีเพียงแค่ โธมัส เวอร์มาเลน เท่านั้นที่ย้ายมาจากทางด้าน อาแย๊กซ์ อัมสเตอร์ดัม ด้วยค่าตัว 10 ล้านปอนด์ ซึ่งราคานี้ก็ถือว่าสูงอยู่สำหรับกองหลังวัยแค่ 23 ปี แต่ถ้าคิดถึงการที่ เวอร์มาเลน ผ่านประสบการณ์ในเกมอาชีพมานานทั้งยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ยูฟ่า คัพ รวมถึงทีมชาติเบลเยี่ยม และยังเป็นกัปตันอาแย๊กซ์ ด้วยแล้ว ก็นับเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า
แต่ถึงจะได้ยากและน้อย แนวทางนี้ก็มีข้อดีในการที่ทำให้เวนเกอร์ สามารถ "สกรีน" ได้อย่างละเอียดว่าจะได้นักเตะคนไหนเข้ามาร่วมทีม ซึ่งนอกจากจะต้องมีฝีเท้าที่ดีพร้อมแล้ว ทัศนคติที่มีต่อทีมก็เป็นเรื่องจำเป็นเช่นกัน เพราะการมาอยู่กับทีมปืนใหญ่ ก็ต้องรู้ว่าทีมปืนใหญ่เป็นอย่างไร เล่นอย่างไร และมีเป้าหมายอย่างไร
เราอาจกล่าวได้ว่าแนวทางนี้ถือเป็นแนวทางใน "อุดมคติ" ก็ว่าได้ เพราะไม่ว่าโค้ชคนไหนของโลกก็อยากจะทำแบบนี้ด้วยกันทั้งนั้น เพียงแต่มันมีข้อเสียตรงที่โลกแห่งความเป็นจริงนั้นไม่ใช่ทุกคนจะเห็นแก่เรื่องดีงามแบบนี้ทั้งหมด
นักฟุตบอลจำนวนไม่น้อยถูกกล่าวหาว่า "บูชาเงิน" มากกว่าความสำเร็จในอาชีพ และความซื่อสัตย์ที่เป็นพื้นฐานของนักฟุตบอลที่มีมาตั้งแต่อดีต
และประเด็นนี้เองที่กลายเป็นชนวนให้เกิดเสียงวิจารณ์ต่อ แมนฯ ซิตี้ ภายใต้การคุมทีมของ มาร์ค ฮิวจ์ส ที่มีฐานอำนาจทางการเงินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกฟุตบอลในเวลานี้อย่างกลุ่มทุนจากอาบูดาบี ที่มีแนวทางในการทำทีมสวนทางกับแนวคิดฟุตบอลอุดมคติของ เวนเกอร์
สิ่งที่ แมนฯ ซิตี้ ทำในเวลานี้คือการซื้อนักฟุตบอลเข้ามาร่วมทีมให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำให้ทีมมีโอกาสประสบความสำเร็จในระยะเวลาอันสั้นได้ โดยไม่ต้องสนใจเรื่องเงินค่าตัวหรือค่าเหนื่อย ขอเพียงแค่จ่ายให้มากพอที่จะคว้ามาร่วมทีมได้เท่านั้น
นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้แมนฯ ซิตี้ อดีตทีมที่เคยภาคภูมิใจกับการเป็น People's club คว้านักเตะเข้ามาเสริมทีมเป็นว่าเล่นในช่วง 2 ฤดูกาลที่ผ่านมา
ในฤดูกาลที่แล้วนั้น กลุ่มทุนอาบูดาบี ทำให้โลกตะลึงด้วยการเซ็นสัญญากับ โรบินโญ่ หนึ่งในซูเปอร์สตาร์ระดับโลกจากเรอัล มาดริด ด้วยค่าตัวสถิติเกาะอังกฤษ 34.5 ล้านปอนด์ "ภายในวันเดียว" หลังจากที่มีการเทคโอเวอร์สโมสรต่อจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อย่างเป็นทางการ
ก่อนที่จะอนุมัติงบประมาณในช่วงตลาดการซื้อขายหน้าหนาวให้ มาร์ค ฮิวจ์ส ที่กำลังเริ่มประสบปัญหาในการทำงานเพราะขุมกำลังไม่ดีพอกับความคาดหวังได้ซื้อ เคร็ก เบลลามี่ (11 ล้าน), ไนเจล เดอ ยอง (18 ล้าน) และ เชย์ กิฟเว่น (5.9 ล้าน) เข้ามาเสริมทีม และเกือบจะได้ กาก้า มาร่วมทีมด้วยค่าตัวเป็นสถิติโลกร่วม 100 ล้านปอนด์ด้วยซ้ำไปหากไม่โดนเทพบุตรลูกหนังปฏิเสธข้อเสนอไปก่อน
แต่นั่นเป็นแค่การซื้อแบบ "แก้ขัด" เท่านั้น
เมกกะโปรเจ็คต์ของจริงของ แมนฯ ซิตี้ เริ่มต้นในช่วงซัมเมอร์นี้ โดยคราวนี้ มาร์ค ฮิวจ์ส วางแผนร่วมกับทีมงานจากตะวันออกกลางในการตามล่า "จิ๊กซอว์" ชิ้นส่วนต่างๆเพื่อเติมเต็มทีมให้ครบถ้วนสมบูรณ์ในฤดูกาลนี้ ซึ่งก็มีการเสริมทีมในทุกจุด
แกเร็ธ แบร์รี่ (12 ล้าน) คือรายแรกทีย้ายมาจากแอสตัน วิลล่า มาคุมเกมแดนกลางก่อนที่จะได้ โรเก้ ซานตา ครูซ อดีตลูกทีมจากแบล็คเบิร์น (18 ล้าน) และ คาร์ลอส เตเวซ ที่แมนฯ ซิตี้ จ่ายเงิน 25 ล้านปอนด์ให้กับ MSI เพื่อดึงตัวมาร่วมทีมอย่างถาวร
จากนั้นเป็นดูโออาร์เซนอล เอ็มมานูเอล อเดบายอร์ (25 ล้าน) และโคโล ตูเร่ (16 ล้าน) ที่ตบเท้าตามเข้ามา
ล่าสุด โจเลียน เลสค็อตต์ กำลังจะเป็นนักเตะคนล่าสุดของ แมนฯ ซิตี้ ด้วยค่าตัว 24 ล้านปอนด์ ซึ่งเท่ากับว่าในระยะเวลาแค่ปีเศษๆ ซิตี้ ซื้อนักเตะระดับชั้นนำมาร่วมทีมถึง 9 คน (ยังไม่ได้นับ ฌอน ไรท์ ฟิลลิปส์ และแว็งซองต์ กอมปานีย์ ที่ซื้อมาก่อนหน้าการเทคโอเวอร์)
ระยะเวลา 12-13 เดือนที่ผ่านมา ทำให้ทุกคนลืมภาพ แมนฯ ซิตี้ ที่ปั้นนักเตะเก่งระดับต้นๆของประเทศไปหมด
ทั้งที่ก่อนนี้ถ้าพูดถึง ซิตี้ ก็ต้องนึกถึง ฌอน-แบร๊ดลีย์ ไรท์ ฟิลลิสป์, ไมเคิล จอห์นสัน, ไมกาห์ ริชาร์ดส, สตีเฟ่น ไอร์แลนด์ หรือเนดุม โอนูโอฮา และหลายคนอาจไม่รู้ว่า แมนฯ ซิตี้ เป็นทีมที่มีทีมเยาวชนเก่งที่สุดในอังกฤษ เคียงข้างลิเวอร์พูล กับอาร์เซนอล เลยทีเดียว
กับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น มันเป็นเรื่องง่ายที่จะวิพากษ์ข้างเดียวว่าเป็นแนวทางที่น่ารังเกียจ เพราะในวงการฟุตบอล การใช้เงินมากมายมหาศาลเพื่อซื้อความสำเร็จนั้นมักได้รับการต่อต้านเสมอ
แต่มันไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ เพราะในอดีต แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ก็เคยได้รับการสนับสนุนทางการเงินจาก แจ็ค วอล์คเกอร์ อดีตเจ้าของสโมสรผู้ล่วงลับที่บันดาลแชมป์ให้กับสโมสรเป็นครั้งแรกในรอบ 80 ปี เช่นกันกับความสำเร็จของ โรมัน อบราโมวิช ในการเติมเต็มให้เชลซี กลายเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก 2 สมัย รองแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก พร้อมการสถาปนาทีมขึ้นมาเป็นยักษ์ใหญ่เคียงข้าง ลิเวอร์พูล กับแมนฯ ยูไนเต็ด แบบถาวร
โดยที่ทุกวันนี้ก็แทบไม่มีใครมาสนใจเรื่องการเป็นเจ้าบุญทุ่มของ เชลซี อีกแล้ว
ดังนั้นถ้าจะถามว่าผิดหรือที่เลือกแนวทางนี้? มันคงไม่มีคำตอบที่ชัดเจนชนิด "ขาว" หรือ "ดำ"
เพราะบ่อยครั้งที่เราพบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้มันเกิดขึ้นแบบสี "เทา"
และท้ายที่สุดแล้วเราทุกคนก็สนใจกับ "ผลลัพธ์" มากกว่า "ต้นกำเนิด" เสมอ
ขอขอบคุณMSNฟุตบอล